SHORT CUT
"พระร่วง..มหาศึกสุโขทัย" ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ที่ชวนให้ทำความเข้าใจเรื่อง "ชาติ" การเลือกนักแสดงชาวกัมพูชา สตรีเพชร เยม มารับบท นางสิงขรเทวี ชายาของ พ่อขุนผาเมือง
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ "พระร่วง มหาศึกสุโขทัย" ได้กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจไม่น้อยจากทั้งผู้ชมทั่วไปและนักประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเปิดเผยว่านักแสดงชื่อดังชาวกัมพูชา สตรีเพชร เยม (Stree Phech Yem) รับบทเป็น นางสิงขรเทวี ธิดากษัตริย์ขอม ผู้เป็นชายาแห่งพ่อขุนผาเมือง หนึ่งในบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย
การเลือกนักแสดงจากประเทศกัมพูชามารับบทในภาพยนตร์ที่อิงจากประวัติศาสตร์ไทย ได้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์หลากหลาย ทั้งในเชิงศิลปะและการตีความประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือคำถามเชิงลึกทางประวัติศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่อง "ไทย" "กัมพูชา" หรือ "ชาติ" ซึ่งในยุคสุโขทัยยังไม่มีคำเรียกเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ
ในภาพยนตร์ พระร่วง: มหาศึกสุโขทัย นางสิงขรเทวีปรากฏในฐานะหญิงสาวผู้มีสายเลือดขอม เป็นธิดาแห่งกษัตริย์แห่งอาณาจักรขอม ซึ่งอภิเษกกับ พ่อขุนผาเมือง ผู้ครองเมืองราด หนึ่งในพันธมิตรที่รวมตัวกันกับพ่อขุนบางกลางหาว (ภายหลังคือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์) เพื่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย
หนึ่งในบริบทสำคัญที่ควรทำความเข้าใจคือ บทบาทของการอภิเษกสมรสระหว่างชนชั้นปกครองในยุคก่อนรัฐชาติ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในการเมืองแบบจารีต ไม่ใช่เพราะเหตุผลของความรักส่วนตัวหรือเชื้อชาติเดียวกัน แต่เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างเมืองหรืออาณาจักรต่างๆ
ในกรณีของ พ่อขุนผาเมือง ที่อภิเษกกับ นางสิงขรเทวี ธิดาแห่งกษัตริย์ขอม เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของกลไกเชิงการทูตแบบโบราณ ซึ่งสะท้อนว่าการแต่งงานเช่นนี้เป็นเครื่องมือในการประสานผลประโยชน์ สร้างพันธมิตร และลดความขัดแย้งระหว่างรัฐหรือกลุ่มอำนาจต่างๆ
การอภิเษกข้ามวัฒนธรรมหรือเชื้อชาติจึงไม่ใช่เรื่องแปลกในยุคที่ยังไม่มีแนวคิดเรื่อง "เชื้อชาติ" หรือ "ชาติพันธุ์" แบบสมัยใหม่ หากพิจารณาจากมุมมองประวัติศาสตร์ การแบ่งแยกด้วยเส้นพรมแดนชาติหรืออคติทางชาติพันธุ์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในภายหลัง โดยเฉพาะหลังยุคอาณานิคมและการสร้างรัฐชาติในศตวรรษที่ 19–20
ดังนั้น ภาพของ "หญิงขอม" ที่กลายมาเป็น "ชายาแห่งสุโขทัย" จึงเป็นเรื่องธรรมดาในโลกของชนชั้นนำยุคนั้น และเป็นการสะท้อนถึงความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม การเมือง และอำนาจในระดับภูมิภาค ที่ลื่นไหลและไร้พรมแดนมากกว่าที่เราถูกสอนมาในประวัติศาสตร์แบบชาตินิยม
การนำเสนอภาพของสตรีขอมในลักษณะที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางการเมืองและเครือญาติกับชนชั้นปกครองในดินแดนไทยปัจจุบัน เป็นการท้าทายภาพจำแบบชาตินิยมดั้งเดิมที่มักเน้น “ไทยแท้” กับ “ข้าศึกต่างชาติ” แต่ในทางประวัติศาสตร์นั้น สายสัมพันธ์ทางการเมืองและการแต่งงานระหว่างกลุ่มชนต่างๆ เป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง
ในศตวรรษที่ 13 ดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศไทยยังไม่ได้เป็นรัฐชาติ “ไทย” ตามความเข้าใจสมัยใหม่ คำว่า “ชาติ” ยังไม่ปรากฏในการนิยามกลุ่มชนหรือดินแดนอย่างที่เราคุ้นเคย อาณาจักรสุโขทัยเองก็เป็นเพียงหนึ่งในหลายกลุ่มอำนาจที่มีอิทธิพลในภูมิภาค
ก่อนการเกิดขึ้นของสุโขทัย อิทธิพลของอาณาจักรขอม ได้แผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่สำคัญทางตอนเหนือและกลางของคาบสมุทรอินโดจีน หลักฐานจากศิลาจารึกและศิลปกรรมในหลายพื้นที่ รวมถึงเมืองสุโขทัยและศรีสัชนาลัย สะท้อนถึงอิทธิพลของขอมทั้งในเชิงภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม
การเลือกนักแสดงชาวกัมพูชาอย่างสตรีเพชร เยม มารับบทในภาพยนตร์ไทยอาจดู “แปลก” ในสายตาของหลายๆ คน แต่ในทางกลับกันก็สะท้อนความเปิดกว้างและการตระหนักถึงบริบทประวัติศาสตร์ที่แท้จริง
เมื่อมองย้อนไปในอดีต ภาพยนตร์ไทยที่พูดถึงสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ตำนานสมเด็จพระนเรศวร, สุริโยไท หรือ บางระจัน ล้วนใช้นักแสดงไทยเป็นตัวแทนฝ่ายพม่า หรือขอม โดยแทบไม่เคยมีคำถามถึงความ “สมจริง” ทางชาติพันธุ์ในเชิงประวัติศาสตร์ ดังนั้น การให้ศิลปินเขมรมารับบทเป็นหญิงขอมจึงไม่เพียง “ไม่แปลก” แต่ยังเป็นการยอมรับบริบททางวัฒนธรรมที่เป็นจริงมากขึ้น
คำถามสำคัญที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ชวนให้ตั้งคือ เราควรอ่านประวัติศาสตร์ด้วยกรอบของ “ชาติ” แบบปัจจุบันหรือไม่?
ประวัติศาสตร์ในยุคก่อนรัฐชาติเป็นประวัติศาสตร์ของเครือญาติ ชุมชน อำนาจ และวัฒนธรรมที่ไหลเวียนข้ามพรมแดน ไม่มี “ไทย” “เขมร” หรือ “พม่า” อย่างชัดเจน ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นเหมือนเวทีหนึ่งที่เปิดให้ผู้ชมตั้งคำถามว่า เราเข้าใจอดีตในแบบที่ “เป็นจริง” หรือในแบบที่เราถูกสอนมา?
"พระร่วง มหาศึกสุโขทัย" ไม่ใช่เพียงแค่ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ที่บันทึกเรื่องราวของการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยเท่านั้น หากแต่ยังเป็นภาพสะท้อนของการทบทวนความทรงจำทางประวัติศาสตร์ที่ฝังอยู่ในสำนึกของคนไทยมายาวนาน
การมีนักแสดงชาวกัมพูชารับบทเป็นหญิงขอมในบริบทที่เชื่อมโยงกับการก่อร่างอำนาจของสุโขทัย ไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาด ตรงกันข้าม มันคือการยอมรับความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ที่ “ข้ามพรมแดน” และข้ามข้อจำกัดของแนวคิดแบบชาตินิยมลงได้อย่างน่าคิด
ประวัติศาสตร์จึงไม่ควรถูกขังอยู่ในพรมแดนของชาติ แต่ควรถูกมองด้วยสายตาที่เข้าใจโลกในแบบที่มันเคยเป็น โลกที่คนอยู่ร่วมกันมาก่อนคำว่า “ไทย” หรือ “เขมร” จะถือกำเนิดเสียอีก