SHORT CUT
ความเหงา ภัยสุขภาพระดับโลก! WHO เตือน คร่าชีวิตนับแสนคนต่อปี ทำลายทั้งกาย-ใจ รับมือได้ด้วยการสร้างสังคมที่ดี เพื่อสุขภาพและอายุยืนยาว
ความเหงาเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนซึ่งส่งผลกระทบต่อมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเพศใด วัยใด หรือจากภูมิหลังใดก็ตาม องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกคำเตือนว่า ความเหงากำลังเป็นภัยคุกคามด้านสุขภาพระดับโลก โดยมีผลกระทบทั้งต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจ และเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเสียชีวิตของผู้คนจำนวนมาก
รายงานล่าสุดของ WHO ระบุว่า ความเหงาสามารถ คร่าชีวิตผู้คนได้ประมาณ 100 คนต่อชั่วโมง หรือมากกว่า 871,000 คนต่อปีทั่วโลก และมีประชากรถึง 1 ใน 6 ที่กำลังเผชิญกับภาวะความรู้สึกโดดเดี่ยว
ความเหงา (Loneliness) คือ ความรู้สึกหนึ่งของมนุษย์ที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ว่าตนขาดการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม หรือมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมน้อยกว่าที่ตนต้องการ เป็นความรู้สึกที่เกิดจากการรับรู้และตีความสถานการณ์ในความสัมพันธ์ของตน คุณภาพของความสัมพันธ์สำคัญกว่าปริมาณ เช่น คนที่มีเพื่อนมากแต่อาจรู้สึกเหงาหากความสัมพันธ์ไม่มีคุณภาพตรงตามความคาดหวัง ในขณะที่คนที่มีเพื่อนน้อยแต่มีความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ สามารถแบ่งปันประสบการณ์และให้การสนับสนุนกันได้ อาจไม่รู้สึกเหงา ความโดดเดี่ยวหรือความเหงาแตกต่างจากการรักสันโดษ ซึ่งเป็นการชื่นชมชีวิตที่เป็นอิสระและความสุขกับการอยู่กับตัวเอง
ความเหงาสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่
ความเหงาสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ทางสังคม การเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของตนกับผู้อื่น รวมถึงประสบการณ์ในอดีตที่อาจทำให้เกิดความคาดหวังต่อความสัมพันธ์
ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดความเหงาได้แก่
ความเหงามีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต
เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ภาวะความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมอง โรคหัวใจและหลอดเลือด ร่างกายอ่อนแอ ติดเชื้อง่าย ส่งผลต่อคุณภาพการนอน ทำให้มีคุณภาพการนอนไม่ดี และรบกวนการนอนหลับ เพิ่มความเสี่ยงต่อการมีพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ และการใช้สารเสพติด เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม ปัญหาด้านความทรงจำ หรืออัลไซเมอร์
งานศึกษาของ Harvard และ UC San Francisco พบว่า ความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้นในปี 2012 ถึง 24% และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมีต้นเหตุมาจากความโดดเดี่ยวและความเหงา
ส่งผลต่อภาวะซึมเศร้า และความวิตกกังวล ผู้ที่รู้สึกเหงาจะมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคซึมเศร้าสูงเป็นสองเท่า ส่งผลให้มีความพึงพอใจในชีวิตต่ำ ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง และลดความมั่นใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การแยกตัวออกจากสังคม อาจเผชิญกับความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายที่เพิ่มขึ้น
ผลกระทบต่อการเรียนรู้และการจ้างงาน วัยรุ่นที่รู้สึกเหงาจะมีแนวโน้มที่จะได้เกรดหรือวุฒิการศึกษาที่ต่ำกว่าถึง 22% ผู้ใหญ่ที่เหงาอาจพบว่าการหางานหรือรักษางานทำได้ยากขึ้น และอาจมีรายได้น้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป บ่อนทำลายความสามัคคีทางสังคม และทำให้เกิดค่าใช้จ่ายหลายพันล้านดอลลาร์ในการสูญเสียผลิตภาพและค่ารักษาพยาบาลในระดับชุมชน
แม้ความเหงาจะส่งผลกระทบต่อคนทุกเพศทุกวัย แต่กลุ่มเยาวชนและประชากรในประเทศที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางกลับเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางเป็นพิเศษ มีข้อมูลระบุว่า 17-21% ของคนหนุ่มสาวอายุ 13-29 ปี รายงานว่ารู้สึกเหงา โดยอัตราสูงสุดอยู่ในหมู่วัยรุ่น นอกจากนี้ ประมาณ 24% ของผู้คนในประเทศรายได้ต่ำรายงานว่ารู้สึกเหงา ซึ่งเป็นสองเท่าของอัตราในประเทศรายได้สูง (ประมาณ 11%)
ผู้เชี่ยวชาญจากทั้งคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ Better Mind Thailand ได้ให้คำแนะนำในการรับมือกับความเหงา
ในทางกลับกัน การมีความสัมพันธ์ทางสังคมที่เข้มแข็งนั้นสัมพันธ์กับสุขภาพที่ดีขึ้นและอายุที่ยืนยาวขึ้น การเชื่อมโยงทางสังคมมีประโยชน์ในการป้องกันตลอดช่วงชีวิต เช่น ลดการอักเสบ ลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยร้ายแรง ส่งเสริมสุขภาพจิต และยืดอายุขัย
ความเหงาเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรง แต่สามารถรับมือและป้องกันได้ด้วยการทำความเข้าใจตนเอง พัฒนาความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ เปิดรับสังคมใหม่ๆ และไม่ลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น รายงานของคณะกรรมาธิการการเชื่อมโยงทางสังคมของ WHO ได้วางแผนการดำเนินงานระดับโลกในหลายมิติ เพื่อปรับเปลี่ยนบรรทัดฐานทางสังคมและสร้างการเคลื่อนไหวเพื่อการเชื่อมโยงทางสังคม
อ้างอิง
กรุงเทพธุรกิจ / BetterMind / Chula /