svasdssvasds

ประเดิม น.1 คดีแก๊งโจรสวมหมวกไหมพรม อาวุธครบมือ บุกปล้นเงินนักธุรกิจค้าทอง กวาด 60 ล้านบาทเผ่นหนี

ประเดิม น.1 คดีแก๊งโจรสวมหมวกไหมพรม อาวุธครบมือ บุกปล้นเงินนักธุรกิจค้าทอง กวาด 60 ล้านบาทเผ่นหนี

ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th

ประเดิม น.1 คดีแก๊งโจรสวมหมวกไหมพรม อาวุธครบมือ บุกปล้นเงินนักธุรกิจค้าทอง กวาด 60 ล้านบาทเผ่นหนี

ประเดิม น.1 คดีแก๊งโจรสวมหมวกไหมพรม อาวุธครบมือ บุกปล้นเงินนักธุรกิจค้าทอง กวาด 60 ล้านบาทเผ่นหนี

พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวส รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางเข้าประชุมกับชุดสืบสวน ที่ สน.พหลโยธิน เพื่อติดตามคดี แก๊งคนร้ายร่วมปล้นทรัพย์ ผู้เสียหาย นักธุรกิจค้าทองคำ ในคอนโดมิเนียม ย่านรัชดาภิเษก 30 ได้เงินเยน คิดเป็นเงินไทยเกือบ 60 ล้านบาท โดยคดีดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อคืนที่ผ่านมา เชื่อ คนใน รู้เห็น - สั่งเร่งสกัดจับรถกระบะ ที่คนร้ายปล้นไป พร้อมประสานสถาบันการเงินตรวจสอบการแลกเงินเยน แบบมีพิรุธ

ประเดิม น.1 คดีแก๊งโจรสวมหมวกไหมพรม อาวุธครบมือ บุกปล้นเงินนักธุรกิจค้าทอง กวาด 60 ล้านบาทเผ่นหนี

ความคืบหน้า เหตุกลุ่มคนร้าย 4-5 คน ก่อเหตุปล้นทรัพย์เงินสกุลเยน จำนวน 197.96 ล้านเยน คิดเป็นเงินประมาณ 60 ล้านบาท พร้อมรถกระบะยี่ห้อฟอร์ด ทะเบียน ป้ายแดง ส 5178 กรุงเทพมหานคร โดยเหตุเกิดขึ้นเมื่อเวลา 23.00 น.วันที่ 2 ตุลาคม ที่ลานจอดรถชั้น 5 อาคารรัชดา พาเวลเลี่ยน ซอยรัชดาภิเษก 30 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ

จากการตรวจสอบพบว่า เจ้าของทรัพย์สิน คือ นายภัทริศหรือโต้โต้ แต้รัตนชัย อายุ 34 ปี กรรมการบริษัทจีแอนด์จี สโตนส์ จำกัด ประกอบกิจการจำหน่ายจิวเวลรี มอบหมายให้นายสุวิทย์ แต้รัตนชัย น้องชายและนายณรงค์ สวัสดิ์ผล ลูกจ้าง นำสินค้าไปขายให้กับลูกค้าที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา โดยมีกำหนดเดินทางกลับวันที่ 2 ตุลาคม เวลา 21.30 น. ที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยนายภัทริศ มอบหมายให้นายกิตติพงษ์ พึ่งยิ้ม และนายจิรภัสส์ พิทักษ์กิจวัฒน์ ลูกจ้าง ขับรถยนต์ไปรับนายณรงค์ชัย ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ส่วนนายสุวิทย์ อยู่ประสานกับลูกค้าที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิ นายณรงค์ชัยได้มอบกระเป๋าเงินสดค่าจิวเวลรีจำนวน 197.96 ล้านเยน คิดเป็นเงินไทย 59,388,000 บาทให้กับนายจิรภัสส์และนายกิตติพงษ์ และได้ขอแยกตัวกลับ เนื่องจากภรรยามารับที่สนามบิน

ประเดิม น.1 คดีแก๊งโจรสวมหมวกไหมพรม อาวุธครบมือ บุกปล้นเงินนักธุรกิจค้าทอง กวาด 60 ล้านบาทเผ่นหนี

ประเดิม น.1 คดีแก๊งโจรสวมหมวกไหมพรม อาวุธครบมือ บุกปล้นเงินนักธุรกิจค้าทอง กวาด 60 ล้านบาทเผ่นหนี

จากนั้นนายจิรภัสส์ ได้นำเงินสดใส่ในรถยนต์บีเอ็มดับบลิว สีขาว ทะเบียน 4กบ 7806 กรุงเทพมหานคร นำมามอบให้กับนายภัทริศ ที่รัชดาพาวิลเลี่ยน มีนายกิตติพงษ์ ขับรถกระบะยี่ห้อฟอร์ด ทะเบียนป้ายแดง ส5179 กรุงเทพมหานคร นำหน้า เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ หลังจากทั้งสองคนจอดรถแล้ว และกำลังเดินลากกระเป๋าเงินเข้าไปในคอโดมิเนียมดังกล่าว ได้มีคนร้ายไม่ทราบชื่อและนามสกุลสวมเสื้อและกางเกงขายาว สีดำ หมวกไหมพรมสีดำ ปิดบังใบหน้า ประมาณ 4-5 คน ใช้อาวุธปืนเล็งใส่นายกิตติพงษ์และนายจิรภัสส์ จากนั้นได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายทั้ง 2 คน ใช้เชือกมัดมือเท้า และนำกระสอบคลุมศีรษะและร่างกาย แล้วชิงเงินสดและรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด ทะเบียนป้ายแดง ส 5179 กรุงเทพมหานคร หลบหนีไป ต่อมานายภัทริศ ผู้เสียหาย ทราบเรื่องจึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ต่อ ร.ต.อ.นวพล วิทยเกริกไกร รองสารวัตร (สอบสวน) สน.พหลโยธิน เพื่อให้ดำเนินคดีกับคนร้ายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

ประเดิม น.1 คดีแก๊งโจรสวมหมวกไหมพรม อาวุธครบมือ บุกปล้นเงินนักธุรกิจค้าทอง กวาด 60 ล้านบาทเผ่นหนี

ประเดิม น.1 คดีแก๊งโจรสวมหมวกไหมพรม อาวุธครบมือ บุกปล้นเงินนักธุรกิจค้าทอง กวาด 60 ล้านบาทเผ่นหนี

ประเดิม น.1 คดีแก๊งโจรสวมหมวกไหมพรม อาวุธครบมือ บุกปล้นเงินนักธุรกิจค้าทอง กวาด 60 ล้านบาทเผ่นหนี

คดีนี้ ตำรวจได้นับการแจ้งเหตุ เมื่อคืนที่ผ่านมา ว่ามีกลุ่มคนร้าย มาดักรอ ผู้เสียหายที่ลานจอดรถชั้น 5 ของคอนโดมิเนียม ดังกล่าว ก่อนจะทำร้าย ผู้เสียหาย ได้รับบาดเจ็บ เย็บไป 20 เข็ม ซึ่งจากการสอบสวน ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเจ้าของเงิน ให้การว่า ส่วนตัวไม่เคยมีปัญหาขัดแย้ง ทางธุรกิจกับใคร เพราะส่วนตัวทำธุรกิจ ด้านเครื่องประดับ มาประมาณ 5 ปีแล้ว และมีการขนเงิน เข้ามาแบบนี้ โดยการขอดีแคลร์ อย่างถูกต้อง

รักษาการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยังระบุว่า ในเรื่องของการขนเงินดังกล่าว มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่า จะนำเงินมาเก็บไว้ที่คอนโดมิเนียม ที่เกิดเหตุ ซึ่งก็เป็นคนในกลุ่มของผู้เสียหายเอง ขณะนี้ ตำรวจ ได้สอบปากคำ ผู้เสียหายทั้งหมดแล้ว ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และเชื่อว่า คดีนี้ ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ให้น้ำหนักไปในเรื่องของการปล้นทรัพย์ เป็นประเด็นหลัก  พร้อมได้สั่งการทุกพื้นที่ ในสถานีตำรวจนครบาล ที่มีสถาบันการเงินอยู่ในพื้นที่ ตรวจสอบเรื่องของการแลกเงินเยน เพื่อหาเบาะแสคนร้ายและประสานเรื่องการขนเงินข้ามชายแดนด้วย

ทางด้าน พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่า ผู้บังคับบัญชาสั่งการและให้นโยบายมาแล้วเรื่องของการ ติดตามคนร้าย ซึ่งขณะนี้ ได้สั่งให้สกัดจับ รถบนต์กระบะฟอร์ดที่คนร้าย ปล้นไปจากผู้เสียหาย และอยู่ระหว่างการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ รวมทั้ง เส้นทางหลบหนีของคนร้ายด้วย

related