ครูหยุย วัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกวุฒิสภา แสดงความคิดเห็นต่อกรณีเยาวชนประกาศกลางม็อบ ถูกครูกระทำอนาจาร ชี้ ต้องแยกแยะเรื่องนี้ออกจากการเมือง
จากกรณีที่นักศึกษาหญิง แต่งชุดนักเรียนชูป้ายที่มีข้อความว่า ตนเองถูกครูกระทำอนาจาร กลางม็อบนักเรียนเลว เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็ก่อให้เกิดอิมแพคในสังคมในระดับสั่นสะเทือน สปริงนิวส์จึงขอสัมภาษณ์ ครูหยุย วัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มีบทบาทการทำงานด้านเยาวชนมาอย่างยาวนาน จนเข้าใจปัญหาด้านนี้ในหลากหลายมิติ โดยครูหยุยได้แสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้
วัลลภ ตังคณานุรักษ์ : ข่าวครูกระทำอนาจารนักเรียน ก็มีเป็นระยะ แล้วสังคมก็ตื่นตัวเป็นครั้งๆ ไป แต่คราวนี้เป็นการประกาศตัวตน ซึ่งผมจะไม่มองว่าตัวตนนั้นเป็นใคร แต่ใครก็ตามที่ลุกขึ้นมาประกาศว่า ตัวเองเคยถูกกระทำอนาจาร ในฐานะที่ผมทำงานเรื่องนี้มานาน ถ้าในแง่จิตวิทยา ในสังคมแบบอนุรักษ์นิยมมากๆ เรื่องที่ทำให้ได้รับความอับอาย ก็มักจะถูกเก็บเอาไว้ ไม่กล้าบอกใคร เก็บไว้นานๆ ก็กลายเป็นความเก็บกด เป็นทุกข์ในใจ ฉะนั้นการที่ใครคนใดคนหนึ่งออกมาเปิดเผย ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ
อันที่จริง ม็อบนี้ก็เคยมีการพูดเรื่องนี้มา 2 – 3 ครั้งแล้วนะ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นตัวเอง แต่ชูป้ายขึ้นมาว่า ในสถานศึกษามีการล่วงละเมิดทางเพศกับนักเรียน คือเนื้อหาพวกนี้มันปรากฏในม็อบอยู่แล้ว
แต่คราวนี้มีการประกาศตัวตน ซึ่งผมจะไม่สนใจว่าคนนั้นคือใครนะ แต่คนคนหนึ่งที่ประกาศตัวตน เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจมากๆ คนๆ หนึ่งกล้าที่จะเปิดเผยออกมา ถือว่าเป็นเรื่องรุนแรงมาก ในทัศนะผม จริงไม่จริงอีกเรื่อง แต่ต้องฟัง ต้องฟังก่อน
วัลลภ ตังคณานุรักษ์ : นี่ก็ถือว่าเป็นอีกกรณีหนึ่ง ที่มาตอกย้ำให้กระทรวงศึกษาธิการ จะต้องดำเนินการอย่างจริงจังกว่าเดิม เพราะว่าที่ผ่านมา พอเกิดปัญหาขึ้น กระทรวงมักจะตั้งคนกันเองมาสอบสวน หรือหน่วยงานรับเรื่องก็มีแต่พวกเดียวกันเอง จึงไม่ค่อยจริงจัง ฉะนั้นต้องอาศัยหน่วยงานกลาง ที่ประกอบด้วยหลายองค์กร เพื่อช่วยกันทำงาน ไม่ให้เป็นไปในลักษณะลูบหน้าปะจมูก
ไม่ใช่รับเรื่องมาแล้ว ให้นิติกรเป็นทนายให้กับครู ซึ่งในกรณีแบบนี้ มันไม่ได้ กระบวนการต้องเป็นแบบพอเกิดเรื่องปั๊บ พักราชการครูไว้ก่อนเลย ถ้ามีมูลความผิด ก็ต้องสอบสวนทางวินัย แล้วขณะเดียวกันต้องฟ้องร้องทางอาญาแผ่นดินควบคู่กันไปด้วย จึงจะแสดงให้เห็นว่า โรงเรียนเอาจริงกับเรื่องนี้
วัลลภ ตังคณานุรักษ์ : ผมจึงบอกไง ผมไม่สนใจว่าคนนั้นเป็นใคร ถ้าคุณไปมองว่าเขาเป็นใครเนี่ย มันจะเกิดความเอียงทางความคิด แต่ผมไม่สนใจว่าเป็นใคร เพราะคนคนหนึ่งถือป้ายขึ้นมาเนี่ย เป็นเรื่องที่ต้องฟัง
ในความเห็นผม เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ผมพูดตั้งแต่ต้นแล้ว เป็นเรื่องที่ต้องฟัง เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ภายในใจที่เขาเก็บมานาน ฉะนั้นต้องเข้าใจก่อน ถ้าคนไม่เข้าใจเรื่องนี้ก็พูดยาก ผมย้ำทุกครั้งเลยว่า ผมไม่สนใจว่าคนนั้นเป็นใคร ผมสนใจว่าคนคนหนึ่งเปิดเผยตัวเองออกมา แสดงว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว อันนี้เป็นเรื่องที่สังคมต้องตระหนัก ต้องทำความเข้าใจเบื้องต้นก่อน
สังคมต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน ถ้าไม่เข้าใจมันจะถูกปั่นกระแส ซึ่งผมไม่ชอบวิธีการแบบนี้ ผมจึงย้ำตลอดว่า เมื่อคนคนหนึ่งประกาศตัวตน (ว่าถูกกระทำอนาจาร) สิ่งที่ต้องทำคือ จัดการตามกระบวนการ (ทางกฎหมาย) และต้องมีทีมสหวิชาชีพ เข้าไปคุยกับเขา ส่วนการเมือง เอาไว้ทีหลัง มันไม่เกี่ยวกันแล้ว
วัลลภ ตังคณานุรักษ์ : ผมว่าไปไกลเกินไป หน้าที่เราก็คือ เมื่อเกิดเหตุอะไรขึ้นมา เราต้องช่วยคนเป็นเหยื่อก่อนเสมอ นี่หลักการเลยนะครับ เราต้องช่วยเขาก่อน แต่ภายหลังถ้าปรากฏขึ้นมา สมมติว่าไม่จริง เขาก็ต้องรับโทษทัณฑ์ เครดิตชีวิตเขาก็หมดไปกับการโกหก
ยกตัวอย่างเช่น มีคนตะโกนว่า ผมอยากฆ่าตัวตาย ถ้าบอกเฮ้ย มันเป็นคนในม็อบ ไม่ต้องไปเชื่อมัน แล้วสมมติเขาฆ่าตัวตายจริงๆ ขึ้นมา เกิดอะไรขึ้นล่ะ
ถ้าใครบอกว่าอยากฆ่าตัวตาย มีอะไรที่เราช่วยได้ ก็ต้องรีบช่วย หลักการเป็นอย่างนี้แหละครับ ส่วนเขาจะตะโกนด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่เขาบอกออกมา เราต้องให้ความสำคัญ
วัลลภ ตังคณานุรักษ์ : ผมอยากจะฝากถึงทุกคน เมื่อใครคนใดคนหนึ่งประกาศอะไรออกมา ซึ่งเป็นความทุกข์ของตัวเอง สังคมต้องฟังนะ ต้องฟังด้วยความเข้าใจก่อน แล้วถ้าสามารถเอาความทุกข์ที่ประกาศออกมานี้ ไปแปลงเป็นการช่วยเหลือคนจำนวนมาก ที่ประสบความทุกข์คล้ายๆ กันได้ ก็จะยิ่งเป็นคุณประโยชน์กับประเทศชาติบ้านเมือง
ในขณะเดียวกันเนี่ย รายที่ประกาศตัวออกมา ไม่ว่าจะเป็นลูกเต้าเหล่าใครก็ตาม ก็เป็นหน้าที่ของเรา ที่เป็นผู้ใหญ่ ที่ต้องเข้าไปดูแล หลักการก็เป็นอย่างนี้แหละครับ