ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เปิดเผยว่า ทางการจีนได้ปิดบังข้อมูล จากหน่วยงานสืบสวนต้นตอของโรคโควิด-19 และหวังว่าในอนาคตจีนจะให้ความร่วมมือมากกว่านี้ ขณะที่ 14 ชาติ สหรัฐฯและพันธมิตรออกแถลงการณ์ร่วม ตำหนิการทำรายงานล่าช้าและไม่ได้เข้าถึงข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
องค์การอนามัยโลก (World Health Organization-WHO) เปิดเผยรายงานสรุป การสืบสวนหาต้นตอของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งระบุว่า ทางการจีนปิดบังข้อมูลกับทางองค์การอนามัยโลก หลังมีหน่วยงานไปสืบสวนต้นตอของโรคโควิด-19 โดย "แทบจะเป็นไปไม่ได้" ที่ต้นตอของเชื้อจะหลุดออกมาจากห้องแล็บที่จีน แต่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการระบาดในสัตว์ตัวหนึ่งสู่สัตว์อีกตัวหนึ่งก่อนที่จะระบาดมาสู่คน
หลังจากที่เชื้อไวรัสนี้ถูกพบครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่น เมื่อช่วงปลายปี 2562 และรัฐบาลจีนได้ออกมาปฏิเสธว่า เป็นเชื้อที่หลุดออกมาสู่ภายนอกระหว่างการทดลองในห้องแล็บ จนถึงตอนนี้เชื้อไวรัสโรคโควิด-19 ได้แพร่ระบาดไปทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อสะสม 128.7 ล้านราย มีผู้เสียชีวิตแล้ว 2.8 ล้านรายแล้ว
โดยก่อนหน้านี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ 17 คนของอนามัยโลกได้เดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่น เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เป็นเวลารวม 4 สัปดาห์ เพื่อสืบหาต้นตอของเชื้อไวรัส แต่เป็นเพียงการศึกษาจากตัวอย่างและหลักฐานต่างๆ ที่รัฐบาลจีนจัดหามาให้ ท่ามกลางข้อสันนิษฐานว่าเชื้อไวรัสหลุดออกมาจากห้องแล็บของสถาบันวิทยาไวรัสอู่ฮั่น ผู้นำด้านการวิจัยและเก็บข้อมูลการศึกษาไวรัสโคโรนาในค้างคาว
หลังการเผยแพร่รายงานฉบับนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมด้วยอีก 13 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อังกฤษ แคนาดา สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิธัวเนีย นอร์เวย์ สโลวีเนีย และอิสราเอล ได้ออกแถลงการณ์ร่วมแสดงความวิตกกังวลต่อรายงานสรุปการสืบหาต้นตอโรคโควิด-19 โดยระบุว่า เป็นรายงานที่ล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญ ขาดการเข้าถึงข้อมูลและตัวอย่างที่เป็นต้นฉบับสมบูรณ์ พร้อมเรียกร้องให้จีน เปิดทางให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าถึงข้อมูลอย่างเต็มที่
ขณะที่ เจน ซากี โฆษกทำเนียบขาว แถลงว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เชื่อว่าชาวอเมริกันสมควรที่จะได้รับรู้ข้อมูลที่ดีกว่านี้ เกี่ยวกับต้นตอโควิด-19 หลังจากที่ประชาคมโลก ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และทุกคนทำงานอย่างหนักในการช่วยชีวิตผู้คนจากความสูญเสียของการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น