svasdssvasds

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร เผย กทม. มีงบรับมือฝีดาษลิงแค่ 2.2 ล้านบาท

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร เผย กทม. มีงบรับมือฝีดาษลิงแค่ 2.2 ล้านบาท

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร หวังกระทรวงสาธารณสุข จะนำโควิดเป็นบทเรียน ไม่ปล่อยให้ฝีดาษลิงลุกลามบานปลาย เผย กทม. มีงบประมาณรับมือแค่ 2.2 ล้านบาท พรรคก้าวไกลเร่งหางบฯ ช่วยผู้ว่าฯ กทม.

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “WHO ประกาศให้ฝีดาษลิงเป็นภาวะฉุกเฉิน กทม. มีงบรับมือแค่ 2.2 ล้านบาท ก้าวไกลเร่งหางบช่วยผู้ว่าฯ กทม.” โดยมีรายละเอียดดังนี้

WHO ประกาศให้โรคฝีดาษลิง เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ

เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส (Dr. Tedros Adhanom Ghebreyesus) ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (World Health Organization – WHO) ได้ประกาศให้โรคฝีดาษลิง เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern: PHEIC) ที่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากนานาประเทศในการควบคุมการระบาด

โดยปัจจุบันจากรายงานใน 75 ประเทศ พบผู้ติดเชื้อมากกว่า 16,000 คน เสียชีวิต 5 คน โดยในขณะนี้มีเพียงยุโรปที่ WHO ประเมินความเสี่ยงของโรคฝีดาษลิงอยู่ในระดับสูง ส่วนภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกยังอยู่ในระดับปานกลาง

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคก้าวไกล

หวั่นระบาด กดดันเศรษฐกิจให้ทรุดลงอีก

เบื้องต้นเข้าใจว่าโรคฝีดาษลิงนั้นไม่ได้มีอันตรายร้ายแรงมากนัก โดยจะมีอาการไข้สูง มีตุ่มน้ำ และผื่นขึ้นตามร่างกาย แต่ทุกรายไม่ได้จำเป็นต้องมีผื่นขึ้นหนาแน่นทั่วร่ายกายตามภาพที่ปรากฎตามสื่อ (ที่อาจะทำให้ประชาชนรู้สึกหวาดกลัวจนเกินไป) เว้นแต่ว่าจะเป็นกรณีของผู้ป่วยหนักเท่านั้น

แต่ที่น่ากังวล ก็คือ โรคนี้เมื่อเป็นแล้วจะเป็นนานถึง 2-4 สัปดาห์ และหากการระบาดกระจายตัวอย่างรวดเร็ว เป็นวงกว้าง โดยไม่มีการควบคุมโรคที่ดี สังคมก็จะเกิดความหวาดกลัวต่อโรค และจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจ โดยจะกดดันให้เศรษฐกิจหลังโควิดที่ทยอยฟื้นตัวอย่างช้าๆ พลันกลับทรุดตัวลงไปอีก นี่ล่ะครับปัญหาใหญ่

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคก้าวไกล

การติดต่อของโรคฝีดาษลิง

จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ CDC ได้ระบุว่า โรคฝีดาษลิงนั้น ติดต่อจากคนสู่คนด้วยพฤติกรรม ดังต่อไปนี้

1. การสัมผัสโดยตรงกับผื่น ตุ่มน้ำ สะเก็ด หรือของเหลวในร่างกาย

2. สารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจจากการสัมผัสตัวเป็นเวลานาน หรือใกล้ชิด เช่น การจูบ การกอด หรือการมีเพศสัมพันธ์

3. การสัมผัสของใช้ เสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน ที่สัมผัสผื่นติดเชื้อ หรือของเหลวในร่างกาย

4. ผู้ตั้งครรภ์สามารถแพร่เชื้อต่อไปยังทารกในครรภ์ผ่านทางรกได้

หวังว่ากระทรวงสาธารณสุข จะนำโควิดเป็นบทเรียน ไม่ปล่อยฝีดาษลิงลุกลามบานปลาย

วิโรจน์ ระบุต่อไปว่า เข้าใจว่าในวันที่ 24 ก.ค. กระทรวงสาธารณสุขจะมีการประชุมเพื่อยกระดับการเฝ้าระวัง ซึ่งผมขออนุญาตเสนอแนะว่า สิ่งที่กระทรวงสาธารณสุข ต้องเร่งดำเนินการให้มีความชัดเจน นั้นประกอบไปด้วย

1. การกำหนดมาตรการในการทำงานร่วมกันระหว่างด่านควบคุมโรค และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในการเข้มงวดกับผู้ที่เดินทางจากประเทศกลุ่มเสี่ยง และมีการ Update สถานการณ์ และทบทวนมาตรการให้มีความเหมาะสมต่อสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

2. เร่งประชาสัมพันธ์โรคฝีดาษลิง ให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ทั้งการสังเกตอาการ ความร้ายแรงของโรค การติดต่อของโรค และช่องทางในการเข้ารับการรักษา ประชาชนที่ป่วยต้องทราบทันทีว่า จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร จะติดต่อเพื่อเข้ารับการรักษาที่ไหน อย่างไร

3. ระบบสายด่วน (Call Center) ระบบการลงทะเบียนเพื่อเข้ารับการรักษา และการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลต่างๆ ตลอดจนระบบในการกักกัน และควบคุมโรค เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยแพร่กระจายเชื้อไปสู่คนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ชิด

ผมเชื่อว่ากระทรวงสาธารณสุข จะเอากรณีของโควิดมาเป็นบทเรียน และไม่ปล่อยปละจนโรคฝีดาษลิง ลุกลามบานปลาย และสร้างปัญหาใหญ่ที่กระทบกับเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชนซ้ำอีก

เผย กทม. มีงบฯ รับมือโรคฝีดาษลิงและโรคระบาดอื่น แค่ 2.2 ล้านบาท

วิโรจน์ระบุว่า สำหรับกรุงเทพมหานคร ก็มีเรื่องที่กังวลอยู่ไม่น้อย ทั้งๆ ที่ กทม. เผชิญหน้ากับโควิดมากว่า 2 ปี แล้ว แต่พอผมได้พิจารณางบประมาณในปี 66 หากไม่เอางบที่เป็นค่าตอบแทน ค่าใช้สอย ค่าครุภัณฑ์ และงบที่มีความเฉพาะเจาะจง (เช่น ไข้หวัดใหญ่ เอดส์ วัณโรค พิษสุนัขบ้า โรคติดต่อในสัตว์ ฯลฯ) มารวม ก็จะพบว่า กทม. มีการจัดสรรงบประมาณไว้รับมือกับโรคติดต่อ และโรคระบาดอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นไว้เพียง 2,185,800 บาท เท่านั้น

สำหรับงบกลาง ที่กันเอาไว้เป็นเงินสำรองในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ก็มีอยู่เพียง 500 ล้านบาท ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม และยังต้องใช้สำหรับกรณีฉุกเฉินอีกหลายเหตุปัจจัย

งบปี 66 ที่เห็น เป็นการจัดงบประมาณ ราวกับว่า กทม. ไม่เคยเจอกับโควิดมาก่อน ไม่ได้เอาการระบาดของโควิดมาเป็นบทเรียนในการเตรียมงบไว้รับมือกับสถานการณ์โรคระบาดอื่นๆ เลย

เมื่อทราบถึงปัญหานี้ ผมจึงได้เร่งประชุมกับ ส.ก.ก้าวไกล โดย ส.ก.ก้าวไกล ทุกคน จะเร่งพิจารณาปรับลดงบประมาณที่ไม่จำเป็น ตลอดจนตัดงบเพื่อยุติโครงการซ้ำซ้อนที่จงใจป้อนงานให้กับผู้รับเหมารายเดิมๆ โดยไม่เกิดประโยชน์กับประชาชน เพื่อให้ผู้ว่ามีงบประมาณ หรือมีงบกลางเพิ่มเติม ไว้ใช้รับมือกับโรคฝีดาษลิง เพื่อให้เศรษฐกิจของ กทม. จะได้ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนชาว กทม. ทุกคน จะได้ใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ

ที่มา : Wiroj Lakkhanaadisorn - วิโรจน์ ลักขณาอดิศร

related