svasdssvasds

"กราดยิงพารากอน" จิตแพทย์ถอดพฤติกรรมรุนแรงในเด็ก ปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้ไข

"กราดยิงพารากอน" จิตแพทย์ถอดพฤติกรรมรุนแรงในเด็ก ปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้ไข

จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ "กราดยิงพารากอน" จิตแพทย์อธิบายพฤติกรรมรุนแรงในเด็ก ปัจจัยความคิดรุนแรง การรับมือ วิธีการป้องกัน เพราะหลายกรณีรุนแรงจนถึงขั้นอีกฝ่ายเสียชีวิต

จากเหตุการณ์กราดยิงพารากอน ห้างใหญ่ใจกลาง กทม. เมื่อวานนี้ (3 ตุลาคม 2566) ถือเป็นเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญ โดยคนร้ายเป็นชาย พกอาวุธปืน แต่งกายมิดชิด สวมหมวก กราดยิงใส่ผู้คนที่อยู่ในห้าง ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ต่างพากันวิ่งแตกตื่นหนีตายกันออกมา มีผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิต และบาดเจ็บหลายราย จากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด พฤติกรรมการก่อเหตุอุกอาจคล้ายเหตุการณ์ในอดีตหลายครั้ง 

โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความสะเทือนใจอย่างมาก เพราะผู้ก่อเหตุเป็นเยาวชนชาย หรือเด็กชายวัยเพียง 14 ปี หลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์และให้ความเห็นที่แตกออกไป บางส่วนมองว่าผู้ก่อเหตุก็เป็นแค่เยาวชน ขาดวิจารณญาณหรือการยับยั้งชั่งใจ รวมถึงวุฒิภาวะยังน้อย ขณะที่บางส่วนก็มองว่าควรได้รับโทษหนักๆไปเลย 

หากพบว่าบุตรหลานมีพฤติกรรมรุนแรงควรรับมืออย่างไร

เมื่อไหร่ที่พ่อแม่ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลคนอื่น เช่นครู รู้สึกว่าเด็กมีพฤติกรรมแปลกไป ควรจะพาไปประเมินอย่างละเอียดโดยจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยา ซึ่งการเข้ารับการรักษาเร็ว สามารถช่วยลดความเสี่ยงการเกิดความรุนแรงได้มาก โดยเป้าหมายของการรักษา คือช่วยให้เด็กเรียนรู้การควบคุมความโกรธ การแสดงออกความไม่พอใจได้อย่างเหมาะสม ให้เด็กมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองและยอมรับผลของการกระทำนั้น เช่น กำหนดข้อตกลงบทลงโทษของการทำผิด และคุยต่อว่าสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อไปอย่างไร

หากอยู่ในสังคมทั้งที่ใกล้ตัวและสังคมที่ใหญ่ขึ้นไป นอกจากนี้เรื่องปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว ปัญหาที่โรงเรียน ปัญหาของสังคมรอบข้างก็ควรได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม

"กราดยิงพารากอน" จิตแพทย์ถอดพฤติกรรมรุนแรงในเด็ก ปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้ไข

คนรอบข้างหรือในคนครอบครัว ควรสังเกตพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด

คงจะได้เห็นข่าวกันบ่อย ๆ เกี่ยวกับความคิดและพฤติกรรมที่รุนแรงของเด็กจนส่งผลกระทบต่อผู้อื่น หลายกรณีรุนแรงจนถึงขั้นอีกฝ่ายเสียชีวิต ซึ่งสาเหตุของพฤติกรรมรุนแรงในเด็กและวัยรุ่น มีความซับซ้อนและเกี่ยวโยงกันหลายๆ อย่าง ไม่อาจตอบได้ทีเดียวว่าปัจจัยใดมากกว่าปัจจัยใด

ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดความรุนแรงได้แก่

  • เคยมีพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรงมาก่อน
  • เคยถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ
  • เคยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวหรือสังคมใกล้ตัว
  • เป็นเหยื่อการถูกล้อเลียน
  • พันธุกรรม ถ้ามีคนในครอบครัวควบคุมอารมณ์ได้ยาก เคยมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง 
  • สื่อที่มีความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นสื่อในทีวี ภาพยนตร์ หรือเกมส์
  • การใช้สารเสพติดบางอย่าง ยาบางชนิด แอลกอฮอล์
  • มีปืนไว้ในบ้านหรือใกล้ตัว
  • ความเครียดในครอบครัว เช่น เศรษฐสถานะ ครอบครัวยากลำบาก ผู้ปกครองแยกทางกัน หรือเป็นผู้ปกครองเลี้ยงเดี่ยว ตกงาน และไม่มีญาติพี่น้องที่สามารถให้การช่วยเหลือได้
  • สมองกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ

"กราดยิงพารากอน" จิตแพทย์ถอดพฤติกรรมรุนแรงในเด็ก ปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้ไข

ในกรณีนี้คนรอบข้างหรือในคนครอบครัว ควรสังเกตบุตรหลานอย่างใกล้ชิดว่ามีความเสี่ยงที่จะมีพฤติกรรมรุนแรงหรือไม่ โดยประเมินได้จากการที่เด็กแสดงอารมณ์โกรธอย่างรุนแรงมากกว่าปกติ, มีการระเบิดอารมณ์ที่บ่อยขึ้น, หงุดหงิดงุ่นง่าน พลุ่งพล่าน อยู่ไม่สุข, หุนหันพลันแล่น ควบคุมความโกรธ/อารมณ์ไม่ได้, ถูกกระตุ้นอารมณ์ได้ง่าย, พฤติกรรมแปลกไปกว่าเดิม เช่น พูดน้อยลงหรือมากขึ้น นิ่งลง ซึ่งพฤติกรรมที่แสดงออกก็อยู่ที่ความสามารถทางสติปัญญาในการวางแผนด้วย

แพทย์หญิงอริยาภรณ์ ตั้งชีวินศิริกูล จิตแพทย์ Bangkok Mental Health Hospital BMHH

วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดพฤติกรรมรุนแรง

  • พฤติกรรมความรุนแรงจะลดลง หากสามารถจัดการปัจจัยเสี่ยงได้
  • สิ่งสำคัญคือการลดความรุนแรงในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เด็กต้องได้เจอ เช่น ความรุนแรงในบ้าน ในสังคม ในสื่อ เพราะความรุนแรงนำมาสู่ความรุนแรง
  • นอกจากนี้ปัจจัยอื่นที่สามารถช่วยลดพฤติกรรมรุนแรงในเด็กได้ เช่น การป้องกันการทารุณกรรมเด็กโดย ผู้ปกครองควรสอนเด็กว่าอะไรคือเข้าข่ายทำร้ายเด็ก เช่นการมาจับตัวในส่วนที่ไม่ควรจับ หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นให้เด็กมาแจ้งพ่อแม่ หรือให้วิ่งหนีไปอยู่กับกลุ่มคนอื่นที่ปลอดภัยกว่า และให้ความรู้ผู้ปกครองในการทำโทษเด็กอย่างเหมาะสม รูปแบบไหนเป็นเพียงการสั่งสอน และรูปแบบใดรุนแรงเกินไปจนเข้าข่ายทารุณกรรม
  • ให้ความรู้ทางเพศแก่เด็กวัยรุ่น
  • หากสังเกตพบแนวโน้มที่เด็กและวัยรุ่นจะก่อความรุนแรง ให้พูดคุยเพื่อเข้าสู่กระบวนการการช่วยเหลือต่อไป
  • สังเกตและชวนพูดคุยมุมมองของเด็กต่อความรุนแรงในสื่อที่เด็กรับ ไม่ว่าจะเป็น สื่อออนไลน์ โทรทัศน์ เกมส์ หรือภาพยนตร์
  • ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ดูแลกับเด็ก ถ้าสามารถพูดคุยกันได้และรับรู้แนวโน้มความสนใจของเด็ก มีทัศนคติที่ดีในเรื่องการดูแลเด็ก การพบแพทย์ การทานยา
  • ในช่วงวัยเด็ก ถ้าผู้ปกครองให้การชื่นชม/ยอมรับ ในสิ่งที่เด็กทำได้ดีและเหมาะสม เช่น โดยแนวโน้มเด็กชอบใช้กำลัง แต่ถ้าเด็กไปใช้กำลังกับสิ่งที่สังคมยอมรับได้ เช่นการเล่นกีฬา ก็จะทำให้แนวโน้มการเกิดความรุนแรงลดลง

 พฤติกรรมความรุนแรงในเด็ก ทุกๆ คนมีส่วนสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดได้ เพียงแค่ใส่ใจ หมั่นสังเกตและพูดคุยกับเด็กอย่างสม่ำเสมอ แต่หากพบว่ามีความเสี่ยงควรพาไปประเมินกับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพื่อลดความสูญเสียหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related