svasdssvasds

5 หลักจิตวิทยา ที่อธิบายว่า 'ตู้คีบตุ๊กตา' เท่ากับ 'การเล่นพนัน' !

5 หลักจิตวิทยา ที่อธิบายว่า 'ตู้คีบตุ๊กตา' เท่ากับ 'การเล่นพนัน' !

5 หลักจิตวิทยาที่ทำให้การเล่นตู้คีบตุ๊กตาคล้ายการพนัน จนทำให้หลายคน “เล่นอีกตาแล้วกัน” แบบไม่รู้จบ ตกเป็นเหยื่อของกลไกเหล่านี้

SHORT CUT

  • ตู้คีบตุ๊กตาใช้หลักจิตวิทยาแบบเดียวกับการพนัน เช่น รางวัลแบบสุ่ม, ความรู้สึกเกือบชนะ และความเสียดายเงินที่ลงไปแล้ว
  • ผู้เล่นมักเข้าใจผิดว่าควบคุมเกมได้เอง ทั้งที่ผลลัพธ์ถูกตั้งโปรแกรมไว้ เช่น แรงคีบอ่อนจงใจ หรืออัตราคีบสำเร็จที่ล็อกไว้
  • ความรู้สึก “ใกล้ได้” และ “ต้องเอาคืนให้คุ้ม” ทำให้หลายคนเล่นซ้ำแบบไม่รู้ตัว จนเสียเงินมากกว่าที่ตั้งใจไว้แรกเริ่ม

5 หลักจิตวิทยาที่ทำให้การเล่นตู้คีบตุ๊กตาคล้ายการพนัน จนทำให้หลายคน “เล่นอีกตาแล้วกัน” แบบไม่รู้จบ ตกเป็นเหยื่อของกลไกเหล่านี้

ตู้คีบตุ๊กตา ตามห้างและศูนย์เกมเป็นความสนุกยอดนิยมสำหรับหลายๆ คน เพราะลุ้นได้ตุ๊กตาน่ารักกลับบ้าน แต่คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมเครื่องเล่นที่ดูไร้พิษภัยนี้ถึงถูกจัดเข้าข่าย “การพนัน” ในหลายประเทศ? นั่นเป็นเพราะการเล่นตู้คีบตุ๊กตามีหลักจิตวิทยาหลายอย่างที่ “หลอก” ให้ผู้เล่นติดพันคล้ายกับการเล่นพนันจริงๆ บทความนี้จะอธิบาย 5 หลักจิตวิทยาสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความรู้สึก “เล่นแล้วอยากเล่นอีก” ของตู้คีบตุ๊กตา 

1.ลุ้นทุกครั้งที่เล่น (Variable Ratio Reinforcement)

หลักการนี้คือ การให้รางวัลแบบสุ่มไม่สม่ำเสมอ ซึ่งพบในการพนันแทบทุกรูปแบบ ตู้คีบตุ๊กตาเองถูกออกแบบให้ ไม่ใช่ทุกครั้งที่เล่นจะได้รางวัล ผู้เล่นอาจคีบตุ๊กตาได้สำเร็จในบางครั้ง แต่ล้มเหลวหลายๆ ครั้งถัดมา ทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าตาไหนจะโชคดี ความไม่แน่นอนนี้กระตุ้นให้คนอยากเล่นซ้ำ เพราะคิดว่า “ครั้งหน้าก็อาจจะได้” คล้ายๆ กับสล็อตแมชชีนที่ผู้เล่นไม่รู้ว่ารางวัลใหญ่จะออกเมื่อไร งานวิจัยของ แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์กชี้ว่า ทั้งตู้คีบตุ๊กตาและสล็อตแมชชีนใช้รูปแบบการให้รางวัลที่คาดเดาไม่ได้ ส่งผลอย่างมากต่อการกระตุ้นให้ผู้เล่นอยากเล่นต่อเรื่อยๆ​ 

2.เกือบได้แล้ว หลอกให้เล่นต่อ!  (Near-Miss Effect)

เคยไหมที่เล่นตู้คีบแล้วตุ๊กตา “ติดขึ้นมาแล้วแต่ดันหลุดลงไปตอนใกล้จะถึงปากช่อง”? ความรู้สึก “เกือบได้แล้วเชียว!” นี้เองที่เรียกว่า ปรากฏการณ์เกือบชนะ ซึ่งเป็นกลไกทางจิตวิทยาที่พบในการพนันเช่นกัน ในเกมพนันอย่างสล็อตแมชชีน หากวงล้อออกสัญลักษณ์เหมือนกันสองวงและวงสุดท้ายเฉียดๆ จะตรงอยู่รอมร่อ สมองของนักพนันจะเกิดการกระตุ้นคล้ายกับตอนชนะจริงๆ ทำให้รู้สึกตื่นเต้นผสมเสียดาย และมักนำไปสู่การเล่นต่อทันที

สารโดปามีนจะทำให้อยากคีบตุ๊กตาต่อ 

สมองจะหลั่งสารโดปามีน ในลักษณะเดียวกับนักพนันที่เห็นสล็อตแมชชีนออกหน้าเกือบถูกรางวัล​ สารโดปามีนนี้คือสารเคมีความสุขที่ทำให้เรารู้สึกดี แม้ครั้งนั้นจะไม่ได้รางวัลจริงๆ ก็ตาม และมันจะหลอกล่อให้เราคิดว่า “ลองอีกสักครั้ง เดี๋ยวคราวหน้าต้องได้แน่ๆ” ดังนั้นการเกือบชนะจึงกลายเป็น แรงกระตุ้นชั้นดี ที่ทำให้ผู้เล่นไม่ยอมเลิกและควักเงินเล่นต่อ เหมือนกับนักพนันที่เล่นต่อเพราะรู้สึกว่าเมื่อครู่โชคใกล้จะเข้าข้างแล้วนั่นเอง โดยงานทดลองก็ยืนยันว่าเหตุการณ์เกือบชนะทำให้คนเล่นนานขึ้นกว่าปกติ

3.คิดว่าเราควบคุมได้ (Illusion of Control)

ตู้คีบตุ๊กตาดูเผินๆ เหมือนเกมฝึกทักษะที่ เราบังคับได้เอง เราเลือกตุ๊กตาเอง เล็งตำแหน่งเอง กดปุ่มเอง ทุกอย่างดูเหมือนอยู่ในการควบคุมของผู้เล่น แต่ในความเป็นจริงนี่เป็น ภาพลวงทางจิตวิทยา อย่างหนึ่งที่คล้ายกับการพนันหลายประเภท นักจิตวิทยาพบว่าคนเรามักจะ ประเมินความสามารถในการควบคุมสถานการณ์สูงเกินจริง โดยเฉพาะในเกมเสี่ยงโชคที่ผลลัพธ์สุ่ม เช่น นักพนันบางคนเชื่อว่าการโยนลูกเต๋าแรงๆ หรือกดปุ่มหยุดสล็อตเองจะช่วยให้มีโอกาสชนะมากขึ้น ทั้งที่ความจริงไม่ได้ต่างอะไรเลย ผู้เล่นตู้คีบเองก็เช่นกัน หลายคนเชื่อว่า “ถ้ากะระยะแม่นๆ เลือกตุ๊กตาตัวที่วางดีๆ เดี๋ยวก็ได้”

ตู้คีบตุ๊กตามีการกำหนดผลลัพธ์ไว้แล้ว  

เครื่องคีบตุ๊กตายุคใหม่ไม่ได้ทำงานด้วยฝีมือผู้เล่นล้วนๆ เช่น Dr. Luke Clark จากศูนย์วิจัยการพนันมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียอธิบายว่าเครื่องเหล่านี้มีการ ควบคุมแรงจับของก้าม (Claw strength) โดยตั้งโปรแกรมให้คีบไม่อยู่ก่อนถึงจำนวนครั้งที่กำหนดไว้​ พูดง่ายๆ คือ ต่อให้คุณเล็งเก่งแค่ไหน ถ้ายังไม่ถึง “ตาที่เครื่องกำหนดให้ได้รางวัล” ก้ามก็จะปล่อยตุ๊กตาหลุดอยู่ดี หลักการนี้ทำให้ผู้เล่น เข้าใจผิดว่าที่พลาดเป็นเพราะฝีมือยังไม่ดีพอ ทั้งที่จริงๆ เป็นเพราะเครื่องยังไม่ปล่อยให้ชนะ

ดังนั้นผู้เล่นจึงพยายามเล่นซ้ำเพื่อปรับปรุงฝีมือตัวเอง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับนักพนันที่หลงคิดว่าตนมีวิธีควบคุมหรือทำนายผลการพนันได้ ทั้งที่เกมเสี่ยงโชคเหล่านั้นถูกตั้งให้ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับดวงหรือเทคนิคของเจ้ามือมากกว่า

4.เสียไปตั้งเยอะ จะเลิกก็เสียดาย (Sunk Cost Effect)

อีกหลักจิตวิทยาที่ผูกมัดคนกับตู้คีบตุ๊กตาก็คือ ความรู้สึกเสียดายทุนที่ลงไปแล้ว สมมติเราเดินมาหน้าตู้แล้วหยอดไปหลายเหรียญแต่ยังไม่ได้ตุ๊กตาเลย คราวนี้จะเลิกก็เสียดายเงินที่เสียไป ความรู้สึกเสียดายนี้ทำให้เรามีแนวโน้มจะทุ่มเงินเล่นต่อ เพราะคิดว่า “ต้องเอาคืนให้ได้ตุ๊กตามาสักตัว ไม่งั้นที่เสียไปก็สูญเปล่า” นี่คล้ายกับในวงการพนันที่นักพนันมักจะ “ไล่ตามการสูญเสีย” (Chasing losses) จนเกินงบโดยไม่รู้ตัว

5. เชื่อว่า "ตาหน้าได้แน่" (Gambler’s Fallacy)

หลักจิตวิทยาข้อสุดท้ายที่พบเห็นได้บ่อยคือ “ความเข้าใจผิดแบบนักพนัน” นั่นคือความเชื่อผิดๆ ว่าเหตุการณ์สุ่มจะมีหนทางสมดุลในระยะสั้น เช่น คิดว่า “ถ้าเล่นเสียติดกันหลายตา ตาต่อไปต้องได้แน่ๆ” ทั้งที่ความจริงโอกาสชนะในแต่ละตานั้น เท่าเดิมทุกครั้ง ไม่ว่าจะผ่านมาแพ้หรือชนะมากี่ตาก็ตาม นักจิตวิทยาเรียกความคิดนี้ว่า Gambler’s Fallacy ซึ่งพบมากในหมู่นักพนันที่เฝ้ารอ “ตาที่โชคจะต้องมา” ผู้เล่นตู้คีบตุ๊กตาก็อาจตกอยู่ในกับดักนี้ เช่น เห็นคนก่อนหน้าเล่นเสียมาหลายครั้ง เราอาจคิดว่า “เครื่องมันไม่แจกมานานแล้ว คราวนี้แหละถึงตาเราได้บ้าง” หรือถ้าเราเองคีบพลาดมาหลายรอบ ก็ยิ่งรู้สึกว่ารอบหน้าต้องถึงคิวได้ตุ๊กตาบ้าง ความเชื่อแบบนี้ทำให้เราเล่นต่อไปโดยคิดว่าชัยชนะใกล้เข้ามาแล้ว ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น 

ที่มา : psychologytoday,vice

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

related