โดนัลด์ ทรัมป์ วางแผนเก็บภาษีนำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศ 100% ยกระดับสงครามการค้า อ้างตลาดอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐฯ กำลังจะ "ตายอย่างรวดเร็ว"
วันที่ 5 พฤษภาคม 2568 สำนักข่าว BBC เปิดเผยว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมวางแผนจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าภาพยนตร์ที่สร้างในต่างประเทศ 100% เนื่องจากเขากำลังยกระดับข้อพิพาททางการค้ากับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
ทรัมป์กล่าวว่า "เขาได้สั่งการให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เริ่มกระบวนการจัดเก็บภาษีดังกล่าว เนื่องจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอเมริกากำลังจะตายอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้py'กล่าวตำหนิ ความพยายามร่วมกันของประเทศอื่นๆ ในการเสนอแรงจูงใจเพื่อดึงดูดผู้สร้างภาพยนตร์และสตูดิโอ ซึ่งถือเป็น "ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ"
นับตั้งแต่หวนคืนเข้าสู่ทำเนียบขาวในเดือน ม.ค. ทรัมป์ได้กำหนดภาษีศุลกากรต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยอ้างเหตุผลว่า ภาษีศุลกากรจะช่วยผู้ผลิตในสหรัฐฯ และปกป้องงานของชาวอเมริกัน ทว่ามันได้ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกตกอยู่ในภาวะโกลาหล และคาดว่าราคาสินค้าทั่วโลกจะเพิ่มสูงขึ้น
ทรัมป์โจมตีจีนอย่างหนักด้วยมาตรการภาษีนำเข้าสูงถึง 145% สำหรับสินค้าจากจีน เมื่อมีการเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรใหม่เข้าไปในระบบภาษีนำเข้าที่มีอยู่แล้ว ภาษีสำหรับสินค้าจีนบางรายการอาจสูงถึง 245% โดยรัฐบาลจีนตอบโต้กลับด้วยการประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 125%
ปัจจุบัน ประเทศอื่นๆ ต้องเผชิญกับภาษีศุลกากรโดยรวมของสหรัฐฯ อยู่ที่ 10% จนกว่าจะสิ้นสุดช่วงหยุดการเรียกเก็บภาษีที่สูงขึ้นในเดือน ก.ค. ที่จะถึง
ด้านสำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศแผนเรียกเก็บภาษี 100% กับภาพยนตร์ที่ผลิตในต่างประเทศเมื่อ 4 พฤษภาคม ตามเวลาท้องถิ่น นับเป็นการขยายนโยบายการค้าที่เข้มงวดมากขึ้นไปยังเซกเตอร์ด้านบันเทิงด้วยเป็นครั้งแรก
โพสต์บนทรูธ โซเชียล ประธานาธิบดีสหรัฐระบุว่า ตนเองได้สั่งให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนการค้าเริ่มกระบวนการจัดเก็บภาษีภาพยนตร์ต่างชาติทันที โดยทรัมป์ต้องการให้สร้างภาพยนตร์ในอเมริกาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่จีนเคลื่อนไหวเมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อลดจำนวนภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตในจีนลงเล็กน้อย เพื่อเป็นการตอบโต้การขึ้นภาษีอย่างก้าวร้าวของทรัมป์
หน่วยงานบริหารภาพยนตร์จีนกล่าวเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่าข้อจำกัดดังกล่าวจะลดความนิยมของผู้ชมในประเทศที่มีต่อภาพยนตร์อเมริกันลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์สหรัฐจะมีอิทธิพลมากที่สุดในโลก แต่ภาพยนตร์ต่างประเทศได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง