svasdssvasds

เดินหน้าต่อยอด ‘สวัสดิการแห่งรัฐ’ สู่สวัสดิการแห่งอนาคต ด้วยนวัตกรรม

เดินหน้าต่อยอด ‘สวัสดิการแห่งรัฐ’ สู่สวัสดิการแห่งอนาคต ด้วยนวัตกรรม

กระทรวงการคลังยังคงเดินหน้าต่อยอด ‘สวัสดิการแห่งรัฐ’ สู่สวัสดิการแห่งอนาคต ด้วยนวัตกรรม

หลายคนคงทราบดีว่า ‘สวัสดิการแห่งรัฐ’ ในประเทศไทยมีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีรากฐานจากแนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการ (Welfare State) ซึ่งเป็นแนวคิดที่รัฐมีบทบาทในการดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชนในด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษา การรักษาพยาบาล การประกันสังคม และการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โดยสามารถแบ่งพัฒนาการของสวัสดิการแห่งรัฐในไทยออกเป็นหลาย อย่างเช่น

  • จุดเริ่มต้น (ยุคก่อนสมัยใหม่ - รัชกาลที่ 5)

โดยรัฐบาลเริ่มมีบทบาทดูแลประชาชนมากขึ้น เช่น การจัดตั้งโรงพยาบาล ศิริราชพยาบาลในปี พ.ศ. 2431 และการจัดตั้งระบบการศึกษา แต่…อย่างไรก็ตามยังไม่ถือว่าเป็น "รัฐสวัสดิการ" อย่างชัดเจน แต่เป็นจุดเริ่มของแนวคิดการให้บริการพื้นฐานโดยรัฐ

  • ต่อมาหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475

จากนั้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 รัฐบาลได้เริ่มมีบทบาทเพิ่มขึ้นในการวางนโยบายเพื่อประชาชน เช่น การจัดตั้งหน่วยงานด้านแรงงาน การศึกษา และสาธารณสุข อีกทั้งยังเริ่มมีการกำหนดสิทธิของประชาชนในรัฐธรรมนูญ เช่น สิทธิในการได้รับการศึกษา และการรักษาพยาบาล

  • ยุคพัฒนาเศรษฐกิจ (พ.ศ. 2500 - 2540)

ได้มีการจัดตั้ง สำนักงานประกันสังคม (พ.ศ. 2533) และระบบประกันสังคมถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญมีการขยายบริการด้านสาธารณสุข และการศึกษาในวงกว้างมากขึ้น

  • ยุครัฐสวัสดิการอย่างเป็นรูปธรรม (หลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540)

เป็นยุคของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค (พ.ศ. 2544) เป็นจุดเด่นที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างทั่วถึง และมีโครงการกองทุนหมู่บ้าน เป็นการสนับสนุนผู้มีรายได้น้อย การขยายสิทธิสวัสดิการสังคมต่าง ๆ

  • ยุค "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" (ตั้งแต่ปี 2560) -ปัจจุบัน

ในยุคนี้รัฐบาลเปิดตัว บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ "บัตรคนจน" สำหรับผู้มีรายได้น้อย โดยให้เงินช่วยเหลือรายเดือน และสิทธิในการซื้อของที่จำเป็นเป็นระบบสวัสดิการแบบมีเงื่อนไขและพุ่งเป้าเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ระบบสวัสดิการรัฐของประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่…ระบบสวัสดิการรัฐของประเทศไทยในปัจจุบันกับแนวทางที่คาดหวังในอนาคตแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน ทั้งในด้านการออกแบบระบบ การจัดสรรงบประมาณ และความยั่งยืนทางการคลัง

  • ส่องสวัสดิการรัฐปัจจุบัน

-ขอบเขตจำกัด: ระบบสวัสดิการของไทยยังไม่ครอบคลุมประชากรทุกกลุ่ม โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ เช่น เกษตรกร แรงงานอิสระ และผู้ประกอบอาชีพตามบ้าน ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 59% ของแรงงานทั้งหมด

-การจัดสรรงบประมาณไม่สมดุล: งบประมาณสวัสดิการของประชาชนในปีงบประมาณ 2566 มีเพียง 11% ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมด ขณะที่งบประมาณสวัสดิการของข้าราชการสูงถึง 39.6%

-งบประมาณต่ำ : โดยรายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมของไทยอยู่ที่ประมาณ 4.8% ของ GDP ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่มีฐานะเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน และยังต่ำกว่าประเทศในยุโรปเหนือที่มีสัดส่วนภาษีต่อ GDP สูง 35-48%

  • เปิดแนวทางสวัสดิการรัฐอนาคต

-การปฏิรูปภาษี และการคลัง : ทั้งนี้เพื่อเพิ่มสัดส่วนการจัดเก็บภาษีให้ใกล้เคียงกับประเทศที่มีระบบสวัสดิการที่มั่นคง อย่าง ยุโรปเหนือ โดยคาดว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปี เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้

-วางเป้าหมายสวัสดิการถ้วนหน้า : การพัฒนาระบบสวัสดิการให้ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ เพื่อให้ทุกคนมีหลักประกันชีวิตที่มั่นคง

-การจัดสรรงบประมาณที่เป็นธรรม : จะต้องมีการปรับโครงสร้างการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน โดยลดสัดส่วนงบประมาณที่ใช้สำหรับข้าราชการและเพิ่มงบประมาณสำหรับสวัสดิการประชาชน

-ให้ประชาชนมีส่วนร่วม : ต้องส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย และตรวจสอบการใช้งบประมาณ เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระบบสวัสดิการ

อย่างไรก็ตามมีข้อเสนอแนะว่าควรส่งเสริมการศึกษาและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายสวัสดิการ เพื่อให้ระบบสวัสดิการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง หรือให้มีการปฏิรูประบบราชการให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใส เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณและการให้บริการสวัสดิการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้จะต้องส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการบริหารจัดการระบบสวัสดิการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความซับซ้อนในการให้บริการ

สำหรับประเทศไทยที่ผ่านมามีการใช้ Big Data เพื่อวิเคราะห์ฐานข้อมูลประชาชนในการให้ สวัสดิการแห่งรัฐ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ความช่วยเหลือไปถึง กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ได้มีการใช้ Big Data ในการรวบรวม วิเคราะห์ และจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลจากแหล่งต่างๆ เช่น ข้อมูลทะเบียนราษฎร , รายได้จากกรมสรรพากร , ข้อมูลประกันสังคม , ข้อมูลการถือครองที่ดินและทรัพย์สิน ,ข้อมูลการใช้ไฟฟ้า น้ำประปา เป็นต้น

โดยข้อดีของการใช้ Big Data ในการให้สวัสดิการแห่งรัฐ คือ สามารถจำแนกกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่แท้จริง ,ให้ความช่วยเหลืออย่างตรงจุด ลดปัญหาการตกหล่นหรือการได้สิทธิ์โดยไม่เหมาะสม , ลดความซ้ำซ้อนในการให้ความช่วยเหลือ ,  ป้องกันการได้รับสิทธิ์ซ้ำจากหลายหน่วยงาน , เพิ่มความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ,ข้อมูลจากหลายแหล่งช่วยตรวจสอบความถูกต้องของผู้ขอรับสิทธิ์ , ปรับปรุงนโยบายสวัสดิการตามข้อมูลจริง เช่น หากพบว่าผู้มีรายได้น้อยอยู่ในพื้นที่ใดมาก ก็สามารถออกนโยบายเฉพาะพื้นที่นั้นได้

ข้อมูลทั้งหมดที่นำเสนอมาเบื้องต้นทำให้เห็นวิวัฒนาการสวัสดิการแห่งรัฐตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และส่องอนาคตว่าจะไปในทิศทางไหน #SPRiNG มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ ‘นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในประเด็นการต่อยอด พัฒนา ‘สวัสดิการแห่งรัฐ’ สู่สวัสดิการแห่งอนาคต ด้วยนวัตกรรมใหม่ เพื่อรับเศรษฐกิจดิจิทัล

โดย ‘นายเผ่าภูมิ’ บอกว่า สวัสดิการแห่งรัฐยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับพี่น้องประชาชน กระทรวงการคลังในฐานะภาครัฐ มีหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนให้ลดความเหลื่อมล้ำให้ได้มากที่สุด จะเดินหน้าลดรายจ่าย เร่งสร้างรายได้ให้กับประชาชน และขยายโอกาสใหม่ๆ ดังนั้นการบริหารงบประมาณในเรื่องของสวัสดิการแห่งรัฐจะต้องทำอย่างละมุนละม่อมระมัดระวังที่สุด จะต้องให้สวัสดิการที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งนี้ในอนาคตจะใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้เรื่อยๆ ให้ประชาชนได้เข้าถึงสวัสดิการแห่งรัฐได้ง่ายขึ้น มีความสมดลยิ่งขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากขึ้น

พร้อมทั้งจะเดินหน้าลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าผู้มีรายได้เข้าถึงเทคโนโลยีได้ยากเพราะฉะนั้นก็เป็นหน้าที่ของภาครัฐที่จะทำให้ประชาชนเหล่านั้นได้เข้าถึงเทคโนโลยีง่ายขึ้น เพื่อที่จะเข้าถึงสวัสดิการแห่งรัฐแบบไม่มีใครตกหล่นจากสวัสดิการแห่งรัฐไปได้

สำหรับแผนการพัฒนาระบบสวัสดิการแห่งรัฐในอนาคต ที่จะใช้เทคโนโลยีช่วยให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลืออย่างแม่นยำและรวดเร็ว การลงทุนในระบบต่างๆจะเป็นการใช้เม็ดเงินไม่มาก และการพัฒนาดังกล่าวถือเป็นความจำเป็นเพราะจะทำให้ประชาชนสะดวกยิ่งขึ้น เข้าถึงสวัสดิการแห่งรัฐมากขึ้น และจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และอยู่กับประเทศของเราไปอีกยาวนาน ทั้งนี้มองว่าระบบสวัสดิการแห่งรัฐดิจิทัลไม่ได้เติบโตด้วยกำลังคน แต่เติบโตด้วยวิธีคิด และการออกแบบ ใช้ไอเดียเป็นส่วนใหญ่

สิ่งต่างๆเป็นการใช้เม็ดเงินไม่มาก และถือเป็นความจำเป็นเพราะจะทำให้ประชาชนสะดวกบายยิ่งขึ้น เข้าถึงมากขึ้น เป็นการลงทุนที่คุมค่าและอยู่กับประเทศไปอีกยาวนาน ดิจิทัลไม่ได้เติบโตด้วยกำลังคน แต่เติบโตด้วยวิธีคิดและการออกแบบ ใช้ไอเดียเป็นส่วนใหญ่

เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตเร็วกว่าเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ดิจิทัลถึง 4-5 เท่า ถ้าไทยยังยึดติดกับเศรษฐกิจแบบเดิมๆ เราจะเติบโตได้ช้ากว่าค่าเฉลี่ย ดังนั้นประเทศไหนก้าวสู่ดิจิทัลเร็วที่สุด จะเป็นผู้ชนะเราเพิ่งออก จีโทเคนมา ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนการระดมทุนในรูปแบบใหม่ ครั้งแรกๆของมโลก  จีโทนเคนเปรียบเสมือนพันธบัตรรัฐบาลที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ข้อดีคือไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่มากในการซื้อ มีเงินไม่มากก็สามารถร่วมระดมทุนได้ คาดว่าอีก 2 เดือนจะเห็นความคืบหน้า

ต้องทำภายในประเทศให้แข็งแกร่งไม่ว่าข้างนอกประเทศของเราจะเกิดอะไรขึ้น เราจะสามารถยืนอยู่ได้ด้วยความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคภายในประเทศ การลงทุนภายในประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการน้ำ สนามบิน การขนส่ง  พัฒนาคนให้มีคุณภาพสูงในตัวเอง การศึกษา การพัฒนาทุนมนุษย์ก็สำคัญ กระทรวงการคลังเป็นเสมือนแหล่งเงินที่ต้องใช้ให้ถูกศักยภาพ

สำหรับปัจจัยภายนอกจะเข้าไปหาจุดรองรองรับที่ดี แม้ว่าโลกจะผันผวนแค่ไหนเราก็จะหาทางออกให้ได้ ช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนจากสิ่งที่เกิดขึ้น ให้ผ่านสถานการณ์เหล่านั้นไปให้ได้ โดยเฉพาะการเจราจา ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก   

ส่วนในประเทศเราก็ต้องทำให้ให้ตัวเองมีความแข็งแกร่ง และภูมิคุ้มกันที่ดี ต่อสู้กับความท้าทายต่างๆที่จะเกิดขึ้นได้ การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล การรปรับตัวสู่ เวอร์ชวลแบงก์ การใช้ข้อมูลทางเลือก ข้อมูลผ่านอีคอมเมิร์ช ข้อมูลการจ่ายค่าสารธรูปโภค ทุกอย่างถูกนำมาคำนวณออกมาเป็นความเสี่ยงของคน แล้วนำมาสู่การปล่อยสินเชื่อ

นักกล้า อารีสกอร์ NAGA ARI SCORE  ในการที่จะประเมินความเสี่ยงของคน จีโทเคน จะช่วยให้ สบน บริหารหนี้สาธารณะได้ดียิ่งขึ้น เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากขึ้น บอกถึงอัตราดอกเบี้ยที่จะได้รับ เงินต้น ระยะเวลาการคืนเงิน เปรียบเสมือนพันธบัตรรัฐบาล ประชาชนซื้อลงทุนได้ การออม ได้ดอกเบี้ย อีกหนึ่งการระดมของรัฐบาล รายได้น้อยออมได้ แตกมาระดับเงินที่ไม่สูงมากระดมทุน เข้าถึงง่ายสำหรับคนที่มีรายได้น้อย ดีกว่าพันรัฐ กระจายตัวได้ดี

จะบริหารภายใต้ พรบ. ที่เกี่ยวข้องกับ ดิจิทัล ASSET ทั้งหมด คนที่บริหารจัดการต้องได้รับไลเซ็นต่างๆ ตามกฎหมายของ กลต. จะไม่มีความเสี่ยงในเชิงระบบต่างๆ เพราะรับไลเซนตามมาตรฐานสากล ขายผ่านตลาดรองได้ง่ายกว่าพันธบัตรรัฐในอดีต เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น รัฐมีต้นทุนในการระดมทุนที่ต่ำกว่า ประหยัดงบประมาณของประเทศได้  สิ่งต่างๆ เหล่านี้เรียกว่านวัตกรรม ไม่มีที่ไหนมีมาก่อน

กรมจัดเก็บทั้งหลายก็พยายามทำให้เข้าสู่ดิจิทัลมาขึ้น ยื่นแบบภาษีในปัจจุบันง่ายมาก กรรมสรพพกร สรรมิต ก็ใช้เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ให้ความรู้ในอุตสาหกรรมต่างๆ มาตรการในการปราบสินค้าเถื่อน ได้เอาเรื่องเศรษฐกิจมาใส่ กรมธนารักประเมินที่ดี วิเคราะห์ออกมาเป็นราคาประเมินที่ดิน สามารถปริ้นออกมาแล้วยื่นแบงก์ได้เลยในอนาคต

related