svasdssvasds

ไทยกรุยทางสู่ ‘การเงินแห่งอนาคต’ สู่เศรษฐกิจใหม่ สังคมไร้เงินสด 100%

ไทยกรุยทางสู่ ‘การเงินแห่งอนาคต’ สู่เศรษฐกิจใหม่ สังคมไร้เงินสด 100%

เปิดแผนการเงินดิจิทัลไทยกรุยทางสู่ ‘การเงินแห่งอนาคต’ พร้อมก้าวสู่เศรษฐกิจใหม่ สังคมไร้เงินสด 100%

ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้จะไปไหนมาไหน ซื้ออะไรไม่ว่าจะเป็นในห้างสรรพสินค้า หรือนอกห้างสรรพสินค้า ร้านค้าทั่วไปตามข้างถนน แทบทุกร้านจะรับจ่ายเงินแบบสแกนจ่ายได้ตามสะดวกสบาย บางร้านจะมีคิวอาร์โค้ดมาตั้งบริการลูกค้ากันเลยทีเดียว ภาพเหล่านี้เริ่มขยายนวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่...ก็ยังมีบางรายบางพื้นที่ที่ยังรับเ ฉพาะเงินสดอยู่ ส่วนพฤติกรรมประชาชนก็ยังมีทั้งจ่ายแบบเงินสด และโอนจ่ายอยู่ แต่แนวโน้มจะไปทางจ่ายแบบโอนมากว่า นั่นแสดงให้เห็นว่าในอนาคตไทยอาจกลายเป็นสังคมไร้เงินสด 100%

สำหรับ “การเงินแห่งอนาคต” หรือ “เศรษฐกิจใหม่ สังคมไร้เงินสด 100%” เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อผลักดันประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างความโปร่งใสในการทำธุรกรรมทางการเงิน รวมถึงเสริมสร้างโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ปัจจัยหลักในการผลักดัน “การเงินแห่งอนาคต” มีดังนี้

  • โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure)

-ระบบ PromptPay, QR Code, และ mobile banking ได้กลายเป็นช่องทางหลักของการชำระเงิน

-โครงการ CBDC (Central Bank Digital Currency) กำลังอยู่ในช่วงการทดสอบภาคเอกชน

  • การสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน

-โครงการ “พร้อมเพย์” และ “ถุงเงิน-คนละครึ่ง” กระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์

-การยกเว้นค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมผ่านแอปธนาคาร

  • การเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชน

-ผู้บริโภคจำนวนมากหันมาใช้ mobile banking และ e-wallet เช่น TrueMoney, ShopeePay, LINE BK

-ร้านค้าขนาดเล็กเริ่มรับ QR Payment กันแพร่หลายมากขึ้น

  • การพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech)
  • -ไทยเรามี startup และบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินเข้ามามีบทบาท ยกตัวอย่างเช่น SCB TechX, Krungthai NEXT, KBTG เป็นต้น

อย่างไรก็ตามในขณะนี้กระทรวงการคลังของประเทศไทยกำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่ "Cashless Society" และเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบผ่านโครงการและนโยบายหลายด้าน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน และการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและความโปร่งใสของระบบการเงิน เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล , การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน , การส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน  , การพัฒนาระบบการเงินเพื่อธุรกิจดิจิทัล

ทั้งนี้การขับเคลื่อนสู่ "Cashless Society" และเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบของกระทรวงการคลังเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและความโปร่งใสของระบบการเงินไทย นอกจากนี้ไทยยังคงเดินหน้าลดการใช้เงินสดในธุรกรรมของภาครัฐ และมีการขยายระบบ e-Payment เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของประเทศไทยในการก้าวสู่ “เศรษฐกิจดิจิทัล 100%” ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 เรื่องนี้เป็นทั้งโอกาส และ ความท้าทาย  หลายประการ เช่น

  • โอกาส

-เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการภาครัฐ ลดต้นทุนในการพิมพ์ จัดเก็บ และขนส่งเงินสด โดยระบบ e-Payment ทำให้การโอนเงินภาครัฐ เช่น เงินช่วยเหลือ เงินเดือน เบี้ยยังชีพ ทำได้รวดเร็วและโปร่งใส

- โปร่งใส และลดการทุจริต เพราะทุกธุรกรรมถูกบันทึกในระบบดิจิทัล ตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย ลดช่องโหว่ในการแอบอ้างหรือปลอมแปลงเอกสาร

- ขยายฐานภาษีและลด “เศรษฐกิจนอกระบบ”  การใช้ e-Payment ทำให้ตรวจสอบรายได้ของบุคคลและธุรกิจได้ง่ายขึ้น และเป็นการเพิ่มรายได้ภาษีให้รัฐ โดยไม่ต้องขึ้นอัตราภาษี

-สนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล  ทำให้เกิดบริการทางการเงินใหม่ เช่น digital lending, mobile wallet, blockchain ในการจัดการข้อมูล รวมถึงเป็นการส่งเสริมสตาร์ทอัพฟินเทค (Fintech Startup)

  • ความท้าทาย (Challenges)

-ความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัล (Digital Divide) อาจมีประชาชนบางกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ ชนบท อาจเข้าไม่ถึงเทคโนโลยี หรือไม่มีความรู้ในการใช้งาน

-ความปลอดภัยของข้อมูลและไซเบอร์ โดยการเพิ่มขึ้นของการใช้ระบบ e-Payment ทำให้เป็นเป้าหมายของการโจมตีทางไซเบอร์ ดังนั้นต้องมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด เช่น KYC, OTP, encryption

-ความเชื่อมั่นของประชาชน ซึ่งประชาชนอาจกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยของข้อมูล  อาจความล่าช้าหรือผิดพลาดในระบบอิเล็กทรอนิกส์อาจลดความไว้วางใจ

-ระบบกฎหมายและกฎระเบียบยังต้องปรับตัว ต้องมีการออกกฎหมายรองรับธุรกรรมดิจิทัลอย่างชัดเจน เช่น การลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์, การเก็บบันทึกข้อมูลดิจิทัล รวมไปจนถึงต้องมีองค์กรกลางในการกำกับดูแล

#SPRiNG สัมภาษณ์พิเศษ ‘นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในประเด็นการผลักดันให้ใช้เงินดิจิทัลในอนาคต เขาเล่าให้ฟังว่า กระทรวงการคลังได้การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลในหลากหลายมิติ เช่น การเดินหน้า virtual bank หรือ ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา , NaCGA กลไกสำคัญที่จะเข้ามาช่วยยกเครื่องการปล่อยสินเชื่อไทย , Ari Score นวัตกรรมเครดิตจากข้อมูลทางเลือก หวังเพิ่มโอกาสประชาชนที่มีรายได้น้อย รายได้ไม่แน่นอน ทั้งหมดเป็นการใช้เทคโนโลยีที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึงระบบการเงินมากขึ้น

และล่าสุด กำลังจะมีการ G-Token พันธบัตรดิจิทัล ประชาชนสามารถซื้อลงทุนได้ การออม ได้ดอกเบี้ย เป็นการระดมของรัฐบาล ให้คนมีรายได้น้อยสามารถออมได้เข้าถึงได้ง่าย ซึ่ต้อง ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่มากในการซื้อ จะดีกว่าพันธบัตรที่สามารถกระจายตัวได้ดี โดยจะมีการแจ้งอัตราดอกเบี้ยที่จะได้รับ เงินต้น ระยะเวลาการคืนเงิน ส่วนข้อดีของภาครัฐ คือ ทำให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) นำเงินระดมทุนไปบริหารหนี้สาธารณะได้ดียิ่งขึ้น เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากขึ้น สำหรับ G-Token คาดว่าอีก 2 เดือน จะเห็นความคืบหน้า

อย่างไรก็ตามการที่กระทรวงการคลังได้การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลจะส่งผลดีต่อปนะเทศ คือ เศรษฐกิจดิจิทัลจะเติบโตเร็วกว่าเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ดิจิทัลถึง 4-5 เท่า ถ้าไทยยังยึดติดกับเศรษฐกิจแบบเดิมจะทำให้ไทยจะเติบโตได้ช้ากว่าค่าเฉลี่ย ดังนั้นประเทศไหนก้าวสู่ดิจิทัลเร็วที่สุดจะเป็นผู้ชนะ

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่าการพัฒนาระบบการเงินไทยไปสู่ดิจิทัลมีประโยชน์มากมาย แต่…ยังมีความท้าทายและข้อควรระวัง ความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity): ยิ่งระบบดิจิทัลยิ่งซับซ้อน ยิ่งเสี่ยงถูกแฮ็ก , การเข้าถึงเทคโนโลยีของกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ หรือคนในพื้นที่ห่างไกล , ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Data Privacy) ต้องมีการออกกฎหมายและควบคุมอย่างชัดเจน สำหรับประเทศไทยได้ดำเนินมาตรการหลายประการเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในการใช้เงินดิจิทัล ทั้งในระดับระบบและระดับผู้ใช้ เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์และอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

โดยมีมาตรการจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อย่างเช่น มาตรฐานความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ: ธปท. กำหนดหลักเกณฑ์การกำกับดูแลความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับผู้ประกอบธุรกิจด้านการชำระเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เช่น ผู้ให้บริการ e-Payment โดยเน้นการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์และการบริหารความเสี่ยงด้าน IT ที่เหมาะสม , มาตรการป้องกันภัยการเงินทางไซเบอร์: ธปท. ได้ออกมาตรการเพื่อป้องกันภัยการเงินทางไซเบอร์ เช่น การจำกัดการใช้โมบายแบงก์กิ้งในอุปกรณ์เดียว การยืนยันตัวตนด้วยเทคโนโลยีชีวมิติ (biometrics) และการจำกัดวงเงินการโอนเงินรายวัน เพื่อป้องกันการหลอกลวงและแอปพลิเคชันดูดเงิน

ส่วนมาตรการสำหรับผู้ใช้บริการ เช่น การตั้งรหัสผ่านที่ปลอดภัย , การอัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชัน , การติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส , การหลีกเลี่ยงเว็บไซต์และอีเมลที่ไม่น่าเชื่อถือ และนอกจากนี้ยังมีบทกำหนดโทษสำหรับสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจ รวมถึง  การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

 

 

related