svasdssvasds

กัมพูชาฟ้อง "ศาลโลก" ปมปัญหาชายแดน ไทยไม่ไปขึ้นก็จบ ฟ้องไม่ได้

กัมพูชาฟ้อง "ศาลโลก" ปมปัญหาชายแดน ไทยไม่ไปขึ้นก็จบ ฟ้องไม่ได้

กัมพูชาขู่ฟ้องศาลโลก ปมปัญหาชายแดน "เป็นสิ่งที่ไทยไม่ต้องสนใจ" เพราะกัมพูชาไม่มีอำนาจพาไทยขึ้นสู่ศาลโลกถ้าไทยไม่ยอม ที่ผ่านมาไม่มีหลักฐานใดๆ ว่ารัฐบาลหรือหน่วยงานใดของไทยยอมให้มีคดีไหนขึ้นสู่ศาลโลก

ไทยไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องศาลโลกใดๆ ไม่ว่ากัมพูชาจะพูดอย่างไร จะบอกว่าจะฟ้องศาลโลกบ้าง บอกว่าจะนำเรื่องเข้า JBC เพื่อเข้าสู่ศาลโลกบ้าง บอกว่าจะทำโน่นทำนี่เพื่อฟ้องคดีในศาลโลก ทุกอย่าง "ไม่มีผลใด ๆ กับไทย" ถ้า "ไทยไม่ยินยอม"

เพจเฟซบุ๊กเพจ thaiarmedforce.com ได้อธิบายถึงกรณีที่สภาฯ ของกัมพูชา มีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นชอบให้นายกฯ กัมพูชา ยื่นเรื่องกรณีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศว่า ทุกอย่างจะไม่มีผลใดๆ กับประเทศไทยหากไทยไม่ยินยอม

แม้มาตรา 93 ของกฎบัตรสหประชาชาติจะระบุว่าสมาชิกสหประชาชาติทุกประเทศเป็นสมาชิกของธรรมนูญศาลโลก แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกประเทศต้องขึ้นศาลโลกถ้ามีใครนำคดีไปฟ้อง

การจะขึ้น "ศาลโลก" ได้มีหลายวิธี 

  1. ต้องได้รับความยินยอมจากคู่ความทั้งสอง (Consent-based Jurisdiction)

หมายถึงทั้งสองฝ่ายยินยอมที่จะนำคดีใดคดีหนึ่งเข้าสู่ศาลโลก ซึ่งต้องได้รับความยินยอมจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งในกรณีนี้ถ้าไทยไม่ยินยอมก็ไม่สามารถพิจารณาคดีได้

   2. การประกาศยอมรับอำนาจศาลผ่านมาตรา 36 (2) ของธรรมนูญศาลโลก

ซึ่งระบุว่าสมาชิกของธรรมนูญศาลโลก (หมายถึงทุกประเทศที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติและอื่น ๆ ที่เลือกยอมรับศาลโลก) สามารถประกาศการยอมรับอำนาจศาลภาคบังคับได้ ซึ่งมีบางประเทศก็เลือกประกาศยอมรับอำนาจศาลภาคบังคับ ซึ่งไทยถอนคำยินยอมออกไปแล้วหลังคดีปราสาทพระวิหาร

   3. การยอมรับอำนาจศาลแบบจำกัด

โดยประเทศต่างๆ สามารถยอมรับอำนาจศาลแบบจำกัดเฉพาะบางคดีหรือบางเรื่องได้ ซึ่งแล้วแต่แต่ละประเทศจะพิจารณา แต่ไทยไม่ได้ยอมรับเลยสักเรื่อง

 

 

 

   4. การยอมรับอำนาจศาลเฉพาะคดี

ประเทศต่างๆ สามารถเลือกเฉพาะบางคดีหรือข้อขัดแย้ง และยอมรับอำนาจศาลโลกเพื่อให้ศาลโลกมีอำนาจตัดสินเฉพาะคดีนั้นๆ ไม่เกี่ยวกับคดีอื่นได้ ซึ่งหลังคดีปราสาทพระวิหารไทยก็ไม่ได้ยอมรับเลยสักคดี

   5. การขึ้นศาลโลกตามที่สนธิสัญญาระหว่างประเทศกำหนด

ซึ่งสนธิสัญญาระหว่างประเทศหลายสนธิสัญญาจะมีข้อกำหนดว่าถ้ามีความขัดแย้งให้นำความขัดแย้งนั้นขึ้นไปสู่ศาลโลกเพื่อตัดสิน สนธิสัญญาเหล่านั้น เช่น อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษความผิดอาญาฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อนุสัญญาว่าด้วยการปราบปรามความผิดต่อความปลอดภัยของอากาศยาน อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ฯลฯ ซึ่งถ้าไทยเป็นรัฐภาคีหรือให้สัตยาบันในสนธิสัญญาใดก็ต้องขึ้นศาลโลกแค่เฉพาะคดีที่เกี่ยวกับสนธิสัญญานั้น ยกเว้นไทยตั้งข้อสงวนเอาไว้

ทั้งนี้พิจารณาจากท่าทีของไทยหลังกรณีปราสาทพระวิหาร ไทยไม่เคยมีท่าทียอมรับหรือต้องการรับอำนาจของศาลโลกไม่ว่ากรณีใดๆ ตรงนี้สืบค้นได้จากมติคณะรัฐมนตรีของไทยที่เวลาที่เข้าเป็นรัฐภาคี ในสนธิสัญญาระหว่างประเทศใด มักจะกำหนดและตั้งข้อสงวนในการไม่รับอำนาจของศาลโลกทุกครั้ง เช่น

   1. การเป็นภาคีของอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อการปราบปรามการวางระเบิดเพื่อการก่อการร้าย

ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้กำหนดเมื่อปี 2558 ว่าให้จัดทำข้อสงวนว่าไทยจะไม่ผูกพันตามข้อ 20 วรรค 1 ของอนุสัญญา ฯ ซึ่งกำหนดให้รัฐภาคีระงับข้อพิพาทกัน โดยอนุญาโตตุลาการ หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

   2. การเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองทางกายภาพของวัสดุนิวเคลียร์และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้กำหนดเมื่อปี 2561 ว่าไทยจะไม่รับกระบวนการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการและการเสนอเรื่องสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

   3. การเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ

ซึ่งนำมาสู่การออก พ.ร.บ.อุ้มหายที่สามารถลงโทษทหารเกณฑ์ที่ถูกซ้อมจนตายได้แล้วเป็นคดีแรก แต่คณะรัฐมนตรีก็ยังมีมติเมื่อปี 2567 ซึ่งวางหลักไว้ว่าให้ทุกส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือสัญญา ซึ่งมีข้อบทให้อำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ) มีเขตอำนาจเหนือข้อพิพาทตามหนังสือสัญญานั้น ให้จัดทำข้อสงวนไม่รับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไว้ทุกเรื่อง เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ

คิดดูว่าแค่การเป็นภาคีของสนธิสัญญาระหว่างประเทศเฉพาะเรื่อง ไทยยังตั้งข้อสงวนทุกครั้งที่จะไม่ยอมขึ้นศาลโลก ซึ่งแปลว่าไทย "เข็ด" แล้วกับการต้องไปศาลโลก

กัมพูชาประกาศฟ้องศาลโลก "เป็นสิ่งที่ไทยไม่ต้องสนใจ"

กล่าวโดยสรุปคือ การประกาศของใครในกัมพูชาว่าจะฟ้องศาลโลกหรืออะไรพวกนี้ เป็นสิ่งที่ไทยไม่ต้องสนใจ เพราะกัมพูชาไม่มีอำนาจพาไทยขึ้นสู่ศาลโลกถ้าไทยไม่ยอม ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีหลักฐานใดๆ โดยสิ้นเชิงว่ารัฐบาลหรือหน่วยงานใดของไทยจะยอมให้มีคดีไหนขึ้นสู่ศาลโลก

ดังนั้นในกรณีนี้ เมื่อเข้าสู่การประชุม JBC ไทยก็แค่แจ้งในที่ประชุมและบันทึกในรายงานการประชุมว่า "ไทยไม่ยินยอมรับเขตอำนาจศาลในกรณีนี้และกรณีไหน" เท่านี้ก็จบแล้ว

ถ้าจะให้เหตุผลก็คือ การมีอยู่ของ #MOU43 ได้กำหนดกลไกในการปักปันและแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาไว้อยู่แล้ว และกลไกนั้นยังทำงานได้ถ้าเพียงแต่กัมพูชาเคารพกลไกที่ตนเองลงนามไว้เอง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องไปพึ่งกลไกอื่นเช่นศาลโลก

ส่วนถ้านักการเมืองกัมพูชาจะโพสโวยวายอะไร ก็ปล่อยเขาไป เพราะการโพสฝ่ายเดียวแบบนี้ไม่มีผลใด ๆ ทางกฎหมายทั้งสิ้นครับ

ที่มา  : เฟซบุ๊ก thaiarmedforce.com

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

related