SHORT CUT
เปิด“พื้นที่อ้างสิทธิ” ไทย–กัมพูชา ปราสาทพระวิหาร ปราสาทตาเมือนธม พื้นที่ช่องบก และเกาะกูด ความขัดแย้งที่เปลี่ยนเพื่อนบ้านเป็นคู่ขัดแย้ง
คำว่า “พื้นที่ทับซ้อน” ในทางภูมิรัฐศาสตร์ หมายถึงดินแดนที่มากกว่าหนึ่งประเทศอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของ โดยต่างฝ่ายต่างมีหลักฐานหรือเหตุผลของตนในการถือครองพื้นที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นแผนที่หรือสนธิสัญญา การที่เส้นเขตแดนไม่ตรงกันแบบนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความไม่แน่นอนทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ความตึงเครียด หรือแม้กระทั่งการปะทะกันได้
ในกรณีของไทยกับกัมพูชา มีพื้นที่ทับซ้อนทั้งทางบกและทางทะเลที่ยังไม่ได้รับการปักปันเขตแดนอย่างเป็นทางการ บางพื้นที่เหล่านี้กลายเป็น “จุดอ่อนไหว” ที่เปลี่ยนจากการเป็นเพื่อนบ้านกัน มาเป็นคู่ขัดแย้งในระดับระหว่างประเทศมาแล้ว ในบทความนี้ SPRiNG ได้รวบรวมพื้นที่จุดเปราะบางของไทยที่ทำให้มีปัญหากับกัมพูชาอยู่หลายครั้ง
กรณีนี้อาจเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เคยตัดสินเมื่อ พ.ศ. 2505 ให้ปราสาทเป็นของกัมพูชา (คะแนนเสียง 9 ต่อ 3) อย่างไรก็ตาม ไทยเชื่อว่าสนธิสัญญา พ.ศ. 2447 ควรแบ่งเขตตามเส้นสันปันน้ำภูมิศาสตร์มากกว่า ทำให้บริเวณโดยรอบปราสาทยังคลุมเครือ ปัญหาถูกจุดชนวนอีกครั้งใน พ.ศ. 2551 เมื่อกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก พร้อมลากเส้นเขตแดนเข้ามาในพื้นที่ทับซ้อนรอบๆ ปราสาท ฝ่ายไทยโต้แย้งและมีการชุมนุมเรียกร้องตรวจสอบแนวเขต ทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายหลายครั้งในช่วงปี 2551–2554
.
สุดท้าย วันที่ 18 กรกฎาคม 2554 ICJ มีคำสั่งให้ทั้งสองประเทศถอนกำลังทหารทั้งหมดออกจากเขตปลอดทหารที่ศาลกำหนด ขนาด 17 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาท และห้ามไม่ให้ไทยดำเนินการใด ๆ ที่อาจขัดขวางกิจกรรมที่ไม่ใช่ทหารของกัมพูชาในพื้นที่ พร้อมสั่งให้ทั้งสองประเทศละเว้นจากการกระทำใด ๆ ที่อาจทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น
อีกจุดหนึ่งที่เป็นข่าวร้อนในไทย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ จากกรณีทหารกัมพูชาขึ้นมาร้องเพลงชาติ โดยปราสาทตาเมือนตั้งอยู่ในเขตอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ติดแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดยฝั่งไทยอ้างว่า ปราสาทตาเมือนธมอยู่ในเขตประเทศไทยตามเส้นแบ่งเขตธรรมชาติ คือ “สันปันน้ำ” หรือแนวสันเขา ซึ่งใช้เป็นแนวพรมแดนตามสนธิสัญญาไทย–ฝรั่งเศส ปี พ.ศ. 2447 ขณะที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์จากแผนที่ภาคผนวกของฝรั่งเศส ซึ่งแสดงเขตแดนที่ลากเข้ามาในฝั่งไทยเล็กน้อย และอ้างว่า “ทางเข้าหลัก” ของปราสาทอยู่ฝั่งกัมพูชา จึงควรเป็นของตน
ในช่วงปี 2554 ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาเพิ่มสูงขึ้นจากกรณีปราสาทพระวิหาร ส่งผลให้ปราสาทตาเมือนกลายเป็นจุดเฝ้าระวังพิเศษ ทั้งสองฝ่ายมีการเสริมกำลังทหาร ประจำการอยู่ใกล้กันเพียงไม่กี่ร้อยเมตร จนเกิดการเผชิญหน้าเล็กน้อย และหวิดปะทะหลายครั้ง ไทยเคยต้องปิดการท่องเที่ยวปราสาทชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย
ล่าสุดเกิดเหตุยิงปะทะกันเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ในพื้นที่ช่องบก ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี พื้นที่นี้เป็นช่องทางเดินเขาตามธรรมชาติในเทือกเขาพนมดงรัก ที่ชาวบ้านทั้งสองประเทศเคยใช้สัญจร ทำการเกษตร และค้าขายมาอย่างยาวนาน
ไทยอ้างสิทธิ์ตามแนวสันปันน้ำ ตามสนธิสัญญาไทย–ฝรั่งเศส ปี พ.ศ. 2447 ที่ระบุให้ใช้แนวสันเขาเป็นพรมแดน ขณะที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ตามแผนที่ภาคผนวกที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นในยุคอาณานิคม ซึ่งลากเส้นล้ำเข้ามาในฝั่งไทยบางส่วน ทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนบางส่วนในแนวเขตป่าและชุมชนใกล้เคียง ที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้ และยังอยู่ในวาระการเจรจาของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) ซึ่งยังดำเนินการต่อไป
พื้นที่รอบเกาะกูดตอนล่างและอ่าวไทยตอนกลาง–ล่างเป็นเขตทับซ้อนทางทะเล ขนาดราว 26,000–27,000 ตารางกิโลเมตร เนื่องจากไทยและกัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปไม่ตรงกันในปี 2515–2516 ทำให้เส้นแบ่งเขตทะเลทับซ้อนกัน พื้นที่นี้มีแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ (ประมาณ 11 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต) แต่ยังไม่สามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้เนื่องจากข้อพิพาทยังคงคั่งค้าง ฝ่ายไทยยืนยันว่าเกาะกูดอยู่ในอธิปไตยไทยตามสนธิสัญญา พ.ศ. 2450 และล่าสุดได้มีการตั้งคณะทำงานร่วมไทย–กัมพูชา (JTC) เพื่อหาทางพัฒนาร่วมกัน โดยบริษัท ปตท.สผ. ระบุว่าหากตกลงกันได้ อาจเริ่มผลิตก๊าซเชิงพาณิชย์ภายใน 5 ปี
สุดท้าย ข้อพิพาทเรื่อง “พื้นที่ทับซ้อน” ระหว่างไทยกับกัมพูชา ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อทั้งความมั่นคงของชาติ เศรษฐกิจชายแดน และชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ความไม่ชัดเจนของเขตแดนทำให้เกิดความตึงเครียดซ้ำซากระหว่างกองกำลังทหาร สร้างภาระต่อการทูต และชะลอการพัฒนาเศรษฐกิจในจุดที่ควรจะเป็นโอกาส เช่น แหล่งพลังงานในทะเล หรือการท่องเที่ยวตามแนวโบราณสถาน ที่ควรจะสร้างประโยชน์ได้มากกว่านี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง