"เรา" และ "เขา" กลายเป็น "คนไทย" ตั้งแต่เมื่อไร? เมื่อก่อนมีคำว่า “รัฐชาติ” ผู้คนในแถบไทย-กัมพูชาอยู่ร่วมกันไร้พรมแดน ชวนย้อนดูประวัติศาสตร์ ที่อาจตอบคำถามที่คนยุคนี้สงสัย !
ตั้งแต่เกิดมา เราทุกคนก็อาศัยอยู่บนโลกที่มีการขีดเส้นแบ่งเขตแดนบนแผนที่ (Map) กันเรียบร้อยแล้ว มีระบบการปกครอง มีอำนาจอธิปไตย มีประชากรอาศัยอยู่ และมีสัญชาติให้ถืออันบ่งบอกว่าเรามาจาก “รัฐชาติ” ใด ซึ่งผูกโยงกับสิทธิประโยชน์ในการใช้ชีวิตในโลกสมัยใหม่
นี่คือคอนเซปต์ของ “รัฐชาติ” (Nation State) ด้วยเหตุนี้ เราอาจเผลอคิดไปว่ารัฐชาติเป็นสิ่งที่เกิดมานานแล้ว แท้จริงแล้วคำว่า “ชาติไทย” เพิ่งเกิดมาไม่นานนี้เอง สายแรกอธิบายว่าชาติไทยถือกำเนิดขึ้นจากการทำแผนที่ในสมัยรัชกาลที่ 5 จากการรุกรานของอาณานิคม
ขณะที่หนังสือ “แผนที่สร้างชาติ: รัฐประชาชาติกับการทําแผนที่หมู่บ้านไทยในยุคสงครามเย็น” เขียนโดย เก่งกิจ กิติเรียงลาภ เสนอว่า แท้จริงแล้วชาติไทยเพิ่งเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (2482-2488)
กล่าวคือ การสร้างชาติไม่ใช่แค่การกำหนดเขตแดนและสร้างแผนที่เท่านั้น แต่การสร้างชาติของรัฐไทยเกิดขึ้นอย่างเป็นล่ำเป็นสันเมื่อมีการสร้างหมู่บ้าน และรวบรวมคนมาอยู่อาศัย จดทะเบียนบ้าน ทำบัตรประชาชน พร้อมระบุ “สัญชาติไทย” จากนั้นจึงค่อย ๆ ก่อรูปร่างขึ้นเป็นชาติไทย
แต่ถ้าย้อนกลับไปไกลกว่านั้น “อุษาคเนย์” หรือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อดีตนั้นอุดมไปด้วยคนหลากหลายชาติพันธุ์ มีทั้งที่อาศัยอยู่แถบนี้อยู่แล้ว หรือพวกที่เคลื่อนย้ายมาตามเส้นทางการค้าทั้งทางบกและทางทะเล ลงหลักปักฐานรวมกันเป็นชุมชน
ถึงกระนั้น สยามก็ยังไม่เรียกตนเองว่า “ไทย” แต่จะเรียกกันตามชาติพันธุ์ของตัวเอง เช่น ลาว, มอญ, กัมพูชา, มลายู, กวย (กุย) เป็นต้น แถมยังไม่ได้พูดภาษาไท-ไต (ยังไม่เรียกภาษาไทย) ด้วย แต่จะพูดภาษาตามชาติพันธุ์ตัวเอง
คำว่า “สยาม” นั้น จิตร ภูมิศักดิ์ อธิบายว่าเป็นคำที่ใช้เรียกภูมิภาคนี้มาแต่โบราณ ซึ่งอาจรับมาหรือถูกเรียกจากพวกอื่น โดยสันนิษฐานว่ามีรากมาจากคำว่า ซาม หรือ เซียม ซึ่งมีความหมายเกี่ยวกับน้ำและที่ราบลุ่ม คำถามคือ ชาวเซียมเรียกตัวเองว่าไทยตั้งแต่เมื่อไหร่
ไม่มีคำตอบตายตัว แต่จดหมายเหตุลาลูแบร์ ซึ่งเขียนโดย ซิมง เดอ ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ บันทึกไว้ว่า "ชาวเซียมนั้นเรียกตัวเองว่า ไท (Tai), หมายความว่า อิสระ, ตามความหมายของคำในภาษาของเขาซึ่งยังมีความหมายเช่นนั้นมาจนทุกวันนี้”
คำอธิบายของ สุจิตต์ วงษ์เทศ ในกรณีนี้คือ “ชนชั้นนำสยามมีการเปลื่อนมืออยู่เสมอ” แต่ที่สยามเริ่มเรียกตัวเองว่าคนไทยนั้นมาจาก ชาวสยามกลุ่มที่พูดภาษาไท-ไต ขึ้นเป็นกษัตริย์ในรัฐอโยธยา จากนั้น ทั้งคนใน-นอกรัฐ จึงเริ่มเรียกตัวเองว่า “คนไทย”
ศึกสงครามในแต่ละครั้ง นอกจากยกทัพไปตีเมืองเพื่อขยายอำนาจการปกครองแล้ว ผลที่ตามมาคือ การกวาดต้อนราษฎรผู้แพ้สงครามให้มาตั้งรกรากในสยาม ทำสวนบ้าง เป็นบ่าวไพร่บ้าง หรือแม้แต่ออกศึกสงครามก็ตาม
ชาวกัมพูชาถูกกวาดต้อนมายังสยาม “หลายยุคหลายสมัย” กระจายอาศัยอยู่ทั่วดินแดน และได้กลายเป็นต้นตระกูลของ “คนไทย” ในปัจจุบัน แต่พวกเขายังมีสำนึกว่าตนเป็นชาวกัมพูชาอยู่หรือไม่นั้น จะขยายเพิ่มเติมในหัวข้อถัดไป
อย่างที่บอกว่าชาวกัมพูชาถูกกวาดต้อนมายังสยามหลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่น ปี พ.ศ. 1974 ในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ทรงยกทัพไปตีเมืองนครหลวง (นครธม) ในรัชสมัยของพระธรรมาโสกราช ฝ่ายกัมพูชายอมแพ้ หนนี้ มีชาวกัมพูชาถูกกวาดต้อนมาราว ๆ 70,000 คน
หรือแม้แต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ที่กัมพูชามีศึกชิงอำนาจกันภายใน มีราษฎรจำนวนไม่น้อยเดินทางมาตั้งรกรากในอยุธยากัน และถึงแม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะล่มสลายลงในปี พ.ศ. 2310 ก็ยังมีชาวกัมพูชาเข้ามาตั้งรกรางกันอย่างต่อเนื่อง จนเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์
และอย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า ก่อนที่คอนเซปต์เรื่องรัฐชาติจะถือกำเนิดขึ้น ชาติพันธุ์ต่าง ๆ ก็อาศัยกันอยู่ในดินแดนแถบนี้กันเป็นปกติ ผู้คนยังไม่มีสำนึกว่าตนเป็นคนของรัฐใด หรือชาติใด
ในกรณีของไทย-กัมพูชา คนจากสองฟากฝั่งมีปฏิสัมพันธ์และอาศัยอยู่ในพื้นที่ทับซ้อน ระหว่างไทย-กัมพูชากันมานานแล้ว อาทิ เทือกเขาพนมดงรัก จนกระทั่งมีการขีดเส้นแบ่งแดนของรัฐ ซึ่งเป็นตัวบอกว่าคุณเป็นคนของชาติใด จากนั้น รัฐทั้ง 2 ฝั่งจึงค่อย ๆ สร้างความรู้สึก “เรา” และ “เขา” ให้ก่อเกิดในจิตสำนึก
ดังที่กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ โปรดให้มีตราสารทางราชการว่า “แต่นี้สืบไป ให้เจ้าหน้าที่แต่ละแผนกทุกหัวเมืองใหญ่น้อย ในมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อจะมีการสำรวจสำมะโนครัว หรือหากว่ามีราษฎรมาติดต่อที่จะต้องใช้แบบพิมพ์ของทางราชการ ให้ปฏิบัติใหม่โดยลงในของสัญชาตินั้นว่า ‘ชาติไทยบังคับสยาม’ ทั้งหมด”
จากยุคก่อนประวัติศาสตร์ เรื่อยมาถึงสมัยสยาม สู่ยุคกวาดต้อน และการก่อกำเนิดขึ้นของรัฐชาติ ชาติพันธุ์กัมพูชาอาศัยอยู่ในดินแดนไทยมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ปัจจุบัน กลุ่มชาติพันธุ์กัมพูชาอาศัยอยู่ในแถบอีสานใต้ของไทย กระจัดกระจายกันไปตามจังหวัดต่าง ๆ เช่น สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ฯลฯ จนอาจกล่าวได้ว่าราษฎรไทยที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานของชาวกัมพูชา
ปัจจุบัน มีการสันนิษฐานว่ามีชาติพันธุ์กัมพูชาถิ่นไทยราว 1.5 ล้านคน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ เนื่องจากมีคนที่พูดภาษากัมพูชามากที่สุด ทั้งยังมีภาษาและวัฒนธรรมอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
จากการศึกษาของ ณัฏฐนันท์ ภูเบศพินธคุปต์ (2561) พบว่า ชาติพันธุ์กัมพูชาในจังหวัดสุรินทร์ยังคงใช้เสียง “ร" เป็นพยัญชนะท้าย แตกต่างจากราษฎรในกัมพูชาที่สูญเสียการใช้เสียงในลักษณะนี้ไปแล้ว คงไว้แต่ภาษาเขียนเท่านั้น อีกข้อสังเกตที่กัมพูชาและไทยมีเหมือนกันคือ “บทบาทในครอบครัว” กล่าวคือมี “พ่อ” เป็นหัวหน้าครอบครัว แม่ดูแลจัดการสิ่งต่าง ๆ ในบ้าน
อย่างไรก็ตาม ความเป็น “คนไทยแท้” เริ่มมีปัญหามากขึ้น เมื่อรัฐบาลนำโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผลักดันนโยบายชาตินิยม เพื่อเปลี่ยนอัตลักษณ์ ลบวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ ใครที่ไม่ก้มหัว ก็จะถูกปัดเป็นอื่นไปเสีย จนก่อเกิดหน่อเนื้อ “ชาตินิยม” ในสำนึกของคนไทย ซึ่งอาจแปรสภาพเป็นความเกลียด และนำไปสู่ความรุนแรงได้
อยากทิ้งท้ายไปด้วยมุมคิดจาก ศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ เสนอแง่คิดไว้ในหนังสือ “สงคราม การค้า และชาตินิยมในความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา” ว่า “ผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศไทยในอดีตย่อมกระทำการต่าง ๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติไทยเป็นสำคัญ แต่ความเข้าใจเพียงแค่นี้ย่อมไม่สามารถทำให้ไทยอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างฉันท์มิตรได้อย่างแท้จริง”
“เราจะไม่มีวันเข้าใจว่าทำไมบรรดาประเทศเพื่อนบ้านจึงไม่ชอบเราเท่าไรนัก หากเราปฏิเสธที่จะรับรู้ข้อเท็จจริงว่าครั้งหนึ่งเราเคยทำอะไรไว้กับพวกเขาบ้าง เราชอบตอกย้ำเรื่องพระยาละแวกที่แว้งกัดไทย แต่เราไม่ต้องการพูดถึงการยกทัพไปทำสงครามกวาดต้อน-ปล้นสะดมภ์ลาวและเขมรตลอดช่วงสมัยธนบุรีจนถึงรัชกาลที่ 3”
อ้างอิง:
ธงชัย วินิจจะกูล: "เสียดินแดน" เป็นประวัติศาสตร์หลอกไพร่ไปตายแทน
สิทธิชุมชนท้องถิ่น จากจารีตประเพณีสู่สถานการณ์ปัจจุบัน: การศึกษาเพื่อแสวงหาแนวทางนโยบายสิทธิชุมชนท้องถิ่นในประเทศไทย
แผนที่สร้างชาติ: รัฐประชาชาติกับการทําแผนที่หมู่บ้านไทยในยุคสงครามเย็น (เก่งกิจ กิติเรียงลาภ)
กระบวนการให้ความหมายและการปฏิสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์เขมรในอาณาบริเวณชายแดนพนมดงรัก (บัญญัติ สาลี)
สัทวิทยาชาติพันธุ์เพื่อความสัมพันธ์ตามแนวชายแดน ไทย-ลาว และ ไทย-กัมพูชา