สรุป 24 ชั่วโมง สถานการณ์ จาก เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้อพยพปชช.พ้นรัศมี 50 กม. จากชายแดน
จากสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน ไทย-กัมพูชา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนจำนวนมาก พร้อมสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชนอย่างกว้างขวาง กองทัพไทยได้ทำการตอบโต้และประณามการโจมตีพื้นที่พลเรือนของกัมพูชาว่าเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
ขณะนี้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นพื้นที่ประมาณ 4 จังหวัด อุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ เพราะฉะนั้นขณะนี้ยังควบคุมอยู่ในพื้นที่ได้อยู่ แต่ก็มีความระมัดระวังและป้องกันชายแดนเต็มที่ ได้ให้ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สมช.- กระทรวงมหาดไทยอพยพคนออกจากพื้นที่ให้ไกลกว่า 50 กิโลเมตร
ตามรายงานจากกองบัญชาการกองทัพไทย ชนวนเหตุเริ่มต้นขึ้นในช่วงเช้าตรู่ เมื่อเวลา 07.45 น. กองกำลังสุรนารีของไทยตรวจพบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของกัมพูชา บินล่วงล้ำเข้ามาในเขตไทยบริเวณปราสาทตาเมือนธม ก่อนที่เวลา 08.20 น. ฝ่ายกัมพูชาจะเปิดฉากยิงเข้าใส่ที่ตั้งของทหารไทย ทำให้สถานการณ์บานปลายสู่การปะทะเต็มรูปแบบ
สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อฝ่ายกัมพูชาเริ่มใช้จรวดหลายลำกล้อง BM-21 ยิงถล่มเข้ามาในดินแดนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเป็นพื้นที่ชุมชนและเขตพลเรือนอย่างชัดเจน อาทิ:
จังหวัดสุรินทร์: จรวดตกใส่ศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน อ.กาบเชิง และวิทยาลัยการอาชีพ อ.สังขะ
จังหวัดศรีสะเกษ: การโจมตีที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นบริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ใน อ.กันทรลักษ์ ส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิตถึง 9 ราย และบาดเจ็บ 14 ราย
จังหวัดบุรีรัมย์ และ อุบลราชธานี: มีรายงานกระสุนปืนใหญ่และจรวดตกใส่บ้านเรือนประชาชนในหลายพื้นที่ เช่น อ.บ้านกรวด (บุรีรัมย์) และ อ.น้ำยืน (อุบลราชธานี)
กองทัพภาคที่ 2 ของไทยได้ทำการยิงตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองและยับยั้งการรุกราน โดยมีรายงานว่าสามารถสร้างความเสียหายให้กับรถถังของฝ่ายกัมพูชาได้ 2 คันในพื้นที่ตรงข้ามปราสาทโดนตวล
ขณะที่ฝ่ายกัมพูชา ใช้จรวด BM.21 ยิงเข้าใส่พื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ บริเวณปั๊มน้ำมัน, พื้นที่เขาพระวิหาร มีการปะทะตั้งแต่ วัดแก้วฯ ไปจนถึง ภูมะเขือ ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายยังอยู่ในที่ตั้ง, พื้นที่ช่องจอม ฝ่ายกัมพูชา ใช้อาวุธยิงสนับสนุนยิงต่อที่ตั้งฝ่ายพลเรือน เช่นวิทยาลัยการอาชีพ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ ศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา และบ้านเรือนประชาชนไทย และพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม หลังจากประกาศปิดการท่องเที่ยว ฝ่ายกัมพูชาได้มีการใช้กำลังเข้าโจมตีฝ่ายเรา ตั้งแต่ห้วงเข้า รวมทั้งใช้อาวุธยิงสนับสนุนยิงเข้าที่ตั้งพลเรือนอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ
คววามสูญเสียครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ข้อมูลสรุปจากกระทรวงสาธารณสุข ณ เวลา 21.00 น. ของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ระบุว่า:
พลเรือน: เสียชีวิต 13 ราย บาดเจ็บรวม 45 ราย (สาหัส 7, ปานกลาง 13, เล็กน้อย 12)
ทหาร: เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บรวม 15 นาย (สาหัส 6, ปานกลาง 5, เล็กน้อย 3)
ทางการไทยได้เร่งอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 8 แห่ง ในเขต จ.บุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว พร้อมจัดตั้งครัวสนามเพื่ออำนวยความสะดวก
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 และโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ได้ออกแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำของกัมพูชาที่จงใจใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายพลเรือน ซึ่งถือเป็นการละเมิดหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างชัดเจน ที่กำหนดให้การโจมตีต้องจำกัดอยู่เฉพาะเป้าหมายทางทหาร (Military Objectives) เท่านั้น
กองทัพไทยได้เรียกร้องให้กัมพูชาหยุดการกระทำดังกล่าวโดยทันที พร้อมยืนยันว่าประเทศไทยยึดมั่นในหลักนิติธรรมและคุณค่าสากลของมนุษยธรรม แต่จะไม่ยอมให้การกระทำใดๆ มาละเมิดอธิปไตยและบ่อนทำลายศักดิ์ศรีของชาติ และพร้อมใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทยต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง