svasdssvasds

รวมท่าทีฝ่ายไทย ปมกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ทำลายสันติภาพ

รวมท่าทีฝ่ายไทย ปมกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ทำลายสันติภาพ

กองทัพไทย ประณามกัมพูชาเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหลายครั้ง พร้อมทั้งบิดเบือนข้อเท็จจริงในเวทีระหว่างประเทศ เรียกร้องให้หยุดกล่าวหาผู้อื่น ปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างจริงจัง

SHORT CUT

  • กองทัพไทยแถลงว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหลายครั้ง โดยมีการยิงปืนเล็กและเครื่องยิงลูกระเบิดเข้ามาในพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ
  • ประธานรัฐสภาไทยประณามผู้นำสภากัมพูชาที่บิดเบือนข้อเท็จจริงในเวทีระหว่างประเทศ และยืนยันว่ารัฐบาลได้รายงานการละเมิดข้อตกลงไปยังอาเซียน สหรัฐฯ และจีนแล้ว
  • ฝ่ายไทยวิเคราะห์ว่าการกระทำของทหารกัมพูชาสะท้อนถึงปัญหา "ความล้มเหลวในการบังคับบัญชา" และการขาดวินัยภายในกองทัพกัมพูชาเอง
  • กองทัพไทยยืนยันความพร้อมให้มีผู้สังเกตการณ์ที่เป็นกลางเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง และเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดกล่าวหาผู้อื่น และปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างจริงจัง

กองทัพไทย ประณามกัมพูชาเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหลายครั้ง พร้อมทั้งบิดเบือนข้อเท็จจริงในเวทีระหว่างประเทศ เรียกร้องให้หยุดกล่าวหาผู้อื่น ปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างจริงจัง

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาล่าสุดที่เข้มข้น ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากประชาคมโลก เพราะเหตุการณ์นี้ถือเป็นวิกฤตความมั่นคงในรอบ 10 ปี 

หลังการปะทะนาน 5 วันระหว่างไทย-กัมพูชา บริเวณแนวชายแดน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และประชาชนไทยต้องอพยพออกจากพื้นที่หลายแสนคน ในที่สุดทั้งสองประเทศก็บรรลุ “ข้อตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข” เมื่อคืนวันที่ 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวกำลังเผชิญความเปราะบาง เมื่อฝ่ายไทยออกมาเปิดเผยว่า กัมพูชาละเมิดข้อตกลงซ้ำสองในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง โดยมีรายงานเสียงปืน และการเคลื่อนไหวของโดรนบริเวณพื้นที่ชายแดน จ.ศรีสะเกษ และช่องอานม้าในช่วงค่ำวันที่ 29-30 กรกฎาคม

แถลงการณ์กองทัพบก การละเมิดข้อตกลงหยุดยิงโดยกองทัพกัมพูชา

กองทัพบกได้ทำหนังสือแถลงการณ์ เรื่อง การละเมิดข้อตกลงหยุดยิงโดยกองทัพกัมพูชา โดยเนื้อหาระบุว่า ตามที่รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาได้ตกลงร่วมกันในการประกาศหยุดยิง เพื่อยุติการปะทะทางทหารบริเวณแนวชายแดน โดยข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 นั้น

กองทัพบกขอยืนยันว่า ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด โดยได้ระงับการใช้กำลังทุกรูปแบบ และลดกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดบรรยากาศแห่งสันติภาพ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และความร่วมมือที่สร้างสรรค์ระหว่างทั้งสองประเทศ

 

กองทัพบกได้รับรายงานจากหน่วยในพื้นที่ว่า ในวันที่ 29-30 ก.ค. 2568 กองทัพกัมพูชาได้กระทำการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอีกครั้ง โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • พื้นที่ช่องอานม้า จ.ศรีสะเกษ ในวันที่ 29 ก.ค. 2568 เวลา 21.30 น. กองทัพกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยิงเข้าใส่แนวกำลังฝ่ายไทย เป็นเหตุให้เกิดการปะทะจนถึงเวลา 22.00 น. จึงยุติ
  • พื้นที่เขาพระวิหาร บริเวณภูมะเขือและห้วยตามาเรีย จ.ศรีสะเกษ ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 22.00 น. กองทัพกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยิงอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับใช้อาวุธยิงสนับสนุนประเภทเครื่องยิงลูกระเบิด ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องใช้สิทธิตามหลักสากลในการตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง การยิงจากฝ่ายกัมพูชายังคงเกิดขึ้นเป็นระยะจนถึงช่วงเช้า วันที่ 30 ก.ค. 2568
  • พื้นที่ผามออีแดง จ.ศรีสะเกษ ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 เวลา 05.17 น. ตรวจพบการยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจากฝั่งกัมพูชา เข้ามาในเขตแดนประเทศไทยอย่างชัดเจน

การกระทำของกองทัพกัมพูชาในครั้งนี้ ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างร้ายแรง นับเป็นครั้งที่สองภายหลังจากที่ข้อตกลงมีผลบังคับใช้ และสะท้อนถึงพฤติกรรมที่ไม่เคารพต่อพันธกรณีระหว่างประเทศ ตลอดจนเป็นการบ่อนทำลายความพยายามในการคลี่คลายสถานการณ์ด้วยสันติวิธี อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความไว้วางใจที่ควรมีระหว่างสองประเทศ

กองทัพบกขอประณามการกระทำอันไม่รับผิดชอบของกองทัพกัมพูชาอย่างถึงที่สุด และขอแจ้งให้ทราบว่า ฝ่ายไทยจะยังคงดำรงตนอยู่บนหลักแห่งความอดกลั้น สันติภาพ และมนุษยธรรมอย่างสูงสุด อย่างไรก็ดี หากมีการละเมิดต่อเนื่อง กองทัพบกจะดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสมและจำเป็นอย่างเด็ดขาด เพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนไทยโดยไม่ละเว้น

 

กองทัพไทย ผิดหวังรัฐบาลกัมพูชา ปฏิเสธข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในแนวหน้า

พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ออกมาแสดงความผิดหวังต่อคำแถลงของกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชา ซึ่งได้ออกแถลงการณ์เมื่อค่ำวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 โดยชี้แจงและแสดงจุดยืนต่อกรณีดังกล่าว ดังนี้

  1. ประเทศไทยยึดถือข้อเท็จจริง และไม่กล่าวหาโดยไร้หลักฐาน จากข้อมูลที่กองทัพไทยเปิดเผยต่อสาธารณชน ในการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชา โดยยืนยันว่าทหารกัมพูชาได้เปิดฉากการยิงเข้ามายังที่มั่นทหารไทยบริเวณภูมะเขือ และช่องอานม้า เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เวลา 21.30 น. นั้น มิได้เกิดจากการกล่าวหาโดยปราศจากมูลความจริง หากแต่ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่หน้าแนวการวางกำลังของทหาร ซึ่งได้รับการตรวจสอบโดยหลายหน่วยงาน มีบันทึกเหตุการณ์ การสื่อสาร และพยานแวดล้อมที่ยืนยันชัดเจน การที่ฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าว มิใช่เพียงการเพิกเฉยต่อหลักฐานที่ปรากฏ แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของกลไกสันติภาพในเวทีโลก ทั้งนี้ กองทัพไทยพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อกลไกผู้สังเกตการณ์ที่เป็นกลาง และยืนยันข้อเท็จจริงบนหลักฐานที่ตรวจสอบได้ เพื่อพิสูจน์ให้ประชาคมโลกเห็นว่า กองทัพไทยปฏิบัติตามคำมั่นอย่างเคร่งครัด "ไม่ใช่แค่ออกมาพูดว่า "มุ่งมั่นและแน่วแน่" แต่พิสูจน์ได้ด้วยการกระทำ
  2. พฤติกรรมของทหารกัมพูชาสะท้อนปัญหาภายในกองทัพตนเอง การที่ทหารกัมพูชาบางหน่วยยังคงใช้อาวุธหลังการหยุดยิง สะท้อนความไร้ประสิทธิภาพของการบังคับบัญชา และภาวะขาดวินัยในหมู่ทหารระดับผู้ปฏิบัติการ โดยการออกมาปฏิเสธความรับผิดชอบของรัฐบาลกัมพูชา ตอกย้ำว่า กองทัพกัมพูชาไม่สามารถควบคุมกำลังพลของตนเองได้ เข้าข่ายภาวะ “ล้มเหลวในการบังคับบัญชา” หมายความได้ว่า ณ ปัจจุบัน ระบบการบังคับบัญชาภายในกองทัพกัมพูชาขาดประสิทธิภาพ ผู้นำไม่สามารถควบคุมกำลังพลของตนเองได้ หรือหากเลวร้ายกว่านั้น อาจเป็นการที่มีผู้มีเจตนาปล่อยให้เกิดความรุนแรงเพื่อหวังผลทางการเมืองบางประการ
  3. ไทยยืนยันเจตนารมณ์สันติภาพ โดยเปิดรับการตรวจสอบจากกลไกที่เป็นกลาง กองทัพไทยพร้อมให้ความร่วมมือกับกลไกระหว่างประเทศอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง การเข้าถึงพื้นที่ และการเปิดเผยข้อมูล โดยไม่มีสิ่งใดต้องปกปิด โดยฝ่ายไทยมั่นใจในความโปร่งใสของตนเอง และเชื่อมั่นว่าความจริงจะเป็นเครื่องยืนยันถึงความรับผิดชอบและความตั้งใจที่แท้จริง
  4. เรียกร้องให้กัมพูชาทบทวนตนเอง โดยหยุดกล่าวหาผู้อื่นโดยไม่แก้ปัญหาภายใน ก่อนที่รัฐบาลกัมพูชาจะกล่าวหาประเทศอื่นว่าบิดเบือนความจริง ควรหันกลับไปตรวจสอบตนเอง ว่าเหตุใดคำสั่งหยุดยิงจึงไม่สามารถหยุดเสียงปืนในแนวหน้าได้ หากไม่สามารถควบคุมทหารให้ยุติการสู้รบหลังคำสั่งหยุดยิงได้ ย่อมหมายความว่า รัฐบาลขาดอำนาจในการควบคุมบังคับบัญชากองทัพของตนเองอย่างสิ้นเชิง และการที่กองทัพกัมพูชาไม่สามารถสั่งการให้หยุดยิงได้ หมายถึงความอ่อนแอและไร้เสถียรภาพของกองทัพ นำไปสู่ความไร้ศักดิ์ศรีของการเป็นชายชาติทหาร จึงขอเรียกร้องให้สังคมโลกประณามและจับตามองว่ากองทัพกัมพูชาเป็นกองทัพที่สร้างภัยคุกคามทั้งต่อภูมิภาคและประชาคมโลก
  5. เหตุการณ์ที่ทหารกัมพูชาใช้อาวุธประจำกายและอาวุธประจำหน่วยขนาดเล็กยิงเข้ามายังที่มั่นทหารไทยเมื่อคืนนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ทหารกัมพูชาในแนวหน้าถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังในพื้นที่ห่างไกลโดยขาดการดูแล ส่งกำลังบำรุง จากกองทัพ โดยมีทหารกัมพูชาหลายนาย ยอมวางอาวุธและเข้ามอบตัวต่อทหารไทยในเวลาต่อมา

พฤติกรรมดังกล่าว มิใช่แค่ละเมิดคำสั่ง แต่ยังสะท้อน "สัญญาณอันตราย" ว่ากองทัพกัมพูชาขาดความสามารถในการจัดการกำลังพลในยามวิกฤต ในขณะที่รัฐบาลกัมพูชากล่าวอ้างถึง “ความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่” เพื่อสันติภาพในทุกบรรทัดของแถลงการณ์

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ชี้ให้เห็นว่าเป็นการปฏิบัติที่ไม่ได้หวังผลทางยุทธวิธี แต่เป็นการ “เรียกร้อง” จากความรู้สึกถูกทอดทิ้ง ไม่มีเสบียง ไม่มีการหมุนเวียนกำลัง และขาดสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานในการดำรงชีพ สะท้อนว่ากองทัพกัมพูชาคือระบบอำนาจนิยมที่สร้างจากความหวาดกลัวและไร้มนุษยธรรม

กองทัพไทยขอเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาและกองทัพกัมพูชา “หันกลับไปดูแลทหารของตัวเอง” ก่อนที่จะกล่าวหาใคร ๆ ว่าบิดเบือนความจริง พฤติกรรมการแสดงออกที่เกิดขึ้น แสดงว่าพวกเขาเหนื่อยล้า หวาดกลัว หิวโหย และต้องการให้ “ผู้บังคับบัญชาของตนดูแลและแสดงความรับผิดชอบ” มากกว่าออกมาแก้ตัว และโกหกซ้ำซาก

กองทัพไทย ขอยืนยันอีกครั้งว่า ประเทศไทยมุ่งมั่นต่อกระบวนการสันติภาพโดยแท้จริง พร้อมดำเนินการอย่างโปร่งใส มีวินัย และยึดมั่นในพันธสัญญาที่ให้ไว้ต่อประชาคมระหว่างประเทศ ขอเรียกร้องให้กัมพูชากลับมาทบทวนตนเองอย่างจริงจัง และยุติพฤติกรรมการปฏิเสธความจริง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นฟูสันติภาพอย่างยั่งยืน

"วันนอร์" ประณาม "ปธ.สภากัมพูชา" แถลงเท็จกลางที่ประชุม IPU

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา ฐานะประธานหน่วยประจำชาติไทยในสหภาพรัฐสภา (IPU) แถลงถึงกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ตนรู้สึกเสียใจและผิดหวังอย่างยิ่งที่ได้รับทราบว่าระหว่างการประชุมระดับสูงของสหภาพรัฐสภา ณ นครเจนีวา ในสัปดาห์นี้ ประเทศไทยถูกกล่าวหาจากประธานสภาผู้แทนราษฎรกัมพูชาโดยปราศจากมูลความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดน

รัฐสภาไทยขอปฏิเสธโดยสิ้นเชิงและขอประณามอย่างรุนแรงต่อถ้อยแถลงอันเป็นเท็จและไม่มีมูลความจริง ดังกล่าว ซึ่งปราศจากความถูกต้อง ตรงข้ามกับข้อเท็จจริงตามที่กระทรวงการต่างประเทศ และรัฐบาลไทยได้มีการแถลงอย่างเป็นทางการถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงมีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชา รัฐบาลไทยได้ฟ้องไปยังประธานอาเซียน ผู้นำสหรัฐอเมริกา และผู้นำจีนแล้ว

 รัฐสภาไทยขอเรียกร้องให้ประเทศกัมพูชาหยุดการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือบิดเบือน ข้อเท็จจริง ซึ่งอาจสร้างความเข้าใจผิดและซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงเพื่อประโยชน์ฝ่ายเดียวประเทศไทยยังคงยึดมั่นในกฎบัตรสหประชาชาติ หลักมนุษยธรรมสากล และการคุ้มครองชีวิตพลเรือนและข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด

ขอขอบคุณประธานอาเชียนและประเทศต่างๆ อันเป็นพันธมิตรของเราเป็นอย่างยิ่งในการสนับสนุนข้อตกลงเจรจาหยุดยิง เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ประเทศไทยยืนยันว่าได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัด แต่จนบัดนี้กัมพูชายังไม่ยุติการยิงอันเป็นการละเมิดข้อตกลง ฉะนั้น จึงขอเรียกร้องให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัด รวมถึงเรียกร้องให้ประธานอาเซียนจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์จากประเทศต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและร่วมหาแนวทางให้การหยุดยิงได้ผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง

ทอ.ยัน "ข่าวปลอม" กองบิน 21 ไม่ได้ถูกฝูงโดรนโจมตี

กองทัพอากาศ ยืนยัน "ข่าวปลอม" กรณีกองบิน 21 ถูกฝูงโดรนโจมตี จำนวน 30 ลำแต่ ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด ความจริงที่ปรากฎ คือเกิดเหตุพายุฝนฟ้าคะนอง และลมกรรโชกแรง ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของทางราชการ

ที่มา : กองทัพบก Royal Thai Army , กองบัญชาการกองทัพไทย , กองทัพอากาศไทย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

 

related