ทำความรู้จัก สงครามข้อมูลข่าวสาร Information Warfare คืออะไร แนวรบออนไลน์ อาวุธพลิกโลกในยุคโซเชียลมีเดีย นี่คือภัยคุกคามที่มองไม่เห็นซึ่งสามารถสร้างผลกระทบได้อย่างมหาศาล
สงครามข้อมูลข่าวสาร - แนวรบออนไลน์ - อาวุธพลิกโลกในยุคโซเชียลมีเดีย
ในสมรภูมิที่สาดอาวุธใส่กัน เสียงปืนใหญ่ การสู้รบภาคพื้นดินเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความขัดแย้งที่คนทั้งโลกเห็น แต่อีกสมรภูมิหนึ่งกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดในโลกที่มองไม่เห็น มันคือสงครามที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสนามรบ และใช้ "ข้อมูล" เป็นอาวุธร้ายแรงที่สุด นี่คือโฉมหน้าของ สงครามสารสนเทศ (Information Warfare) ภัยคุกคามยุคดิจิทัลที่ได้เปลี่ยนวิถีแห่งความขัดแย้ง ให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
สงครามสารสนเทศ ไม่ใช่แค่การแฮกข้อมูลหรือสงครามไซเบอร์ แต่มันคือ ศาสตร์และศิลป์ ของการใช้ข้อมูลเพื่อบงการความคิด บั่นทอนขวัญกำลังใจ และสร้างความได้เปรียบเหนือคู่ต่อสู้ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการทหาร การเมือง หรือสังคม เป้าหมายสูงสุดของมันคือการเอาชนะใจคน โดยที่พวกเขาอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองได้ตกเป็นเป้าหมาย
Information Warfare แม้มักจะถูกใช้สลับกับคำว่า สงครามไซเบอร์ (Cyber Warfare) แต่แท้จริงแล้ว สงครามสารสนเทศมีความหมายที่กว้างกว่า โดยสงครามไซเบอร์ซึ่งเน้นการโจมตีทางเทคนิคต่อระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่าย ถือเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของสงครามสารสนเทศเท่านั้น
แนวคิดนี้เก่าแก่พอๆ กับสงคราม มนุษย์พยายามใช้ข้อมูลเพื่อชิงความได้เปรียบมานานหลายศตวรรษ
รากฐานโบราณ : กว่า 2,500 ปีก่อน ซุนวู ได้เขียนไว้ในตำราพิชัยสงครามถึงสุดยอดแห่งยุทธศาสตร์ว่าคือ "การเอาชนะโดยไม่ต้องรบ" ซึ่งก็คือแก่นแท้ของการใช้กลอุบายลวงข้าศึก เช่นเดียวกับ เจงกิส ข่าน ที่ส่งสายลับไปปล่อยข่าวลืออันน่าสะพรึงกลัวเพื่อทำลายขวัญกำลังใจของเมืองต่างๆ ก่อนที่กองทัพของเขาจะไปถึง
ยุคแห่งโฆษณาชวนเชื่อ : ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 สงครามข้อมูลได้ถูกยกระดับขึ้นอย่างเป็นระบบผ่าน โฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) มีการใช้สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ และภาพยนตร์ เพื่อปลุกระดมความรักชาติและสร้างภาพปีศาจร้ายให้ฝ่ายตรงข้าม ต่อเนื่องมาถึงยุคสงครามเย็น ที่การต่อสู้ทางอุดมการณ์ระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตดำเนินไปผ่านคลื่นวิทยุอย่าง Voice of America และ Radio Moscow
จุดเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัล : การถ่ายทอดสดสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ 1 (1991) ผ่านสถานีโทรทัศน์ CNN ได้ทำให้โลกและกองทัพตระหนักถึงพลังของข้อมูลแบบเรียลไทม์ หรือที่เรียกว่า "CNN Effect" มันแสดงให้เห็นว่าการควบคุมเรื่องเล่า (Narrative) สำคัญไม่แพ้การรบภาคพื้นดิน และผลักดันให้กองทัพสหรัฐฯ พัฒนาหลักการ "ปฏิบัติการสารสนเทศ" (IO) อย่างจริงจัง
เมื่ออินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต สงครามสารสนเทศ Information Warfare ก็ได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่ซับซ้อนและไร้พรมแดนอย่างสิ้นเชิง
อาหรับสปริง (Arab Spring, 2010): พลังประชาชน หรือดาบสองคม ?
ปรากฏการณ์การลุกฮือของประชาชนในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ หรือ อาหรับสปริง (Arab Spring) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก คือกรณีศึกษาแรกๆ ที่แสดงพลังของโซเชียลมีเดีย ผู้ประท้วงใช้ Facebook และ Twitter เป็นเครื่องมือนัดหมายและเผยแพร่ภาพความรุนแรงของรัฐบาลสู่สายตาชาวโลก มันคืออาวุธของประชาชนที่โค่นล้มเผด็จการได้สำเร็จในตูนิเซียและอียิปต์
แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นดาบสองคมที่กลุ่มหัวรุนแรงใช้เป็นเครื่องมือเผยแพร่แนวคิดสุดโต่ง สร้างความแตกแยก และนำไปสู่สงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อในซีเรียและลิเบีย แสดงให้เห็นว่าเมื่อข้อมูลถูกปลดปล่อย ใครๆ ก็สามารถใช้มันเป็นอาวุธได้
การโจมตีไซเบอร์ในเอสโตเนีย (2007): สัญญาณเตือนถึงสงครามมิติที่ 5
เหตุการณ์ที่ประเทศเอสโตเนียถูกโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่จนระบบราชการ ธนาคาร และสื่อทั่วประเทศเป็นอัมพาต ถือเป็น "สัญญาณเตือน" ที่ปลุกให้โลกตะวันตกตื่นจากฝัน นี่คือครั้งแรกที่โลกเห็นว่าสงครามไซเบอร์สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐานของรัฐได้จริง และเป็นการประกาศอย่างเป็นทางการถึงการมาถึงของสมรภูมิรบในมิติที่ 5 หรือ Cyberspace
สงครามรัสเซีย-ยูเครน (2022 - ปัจจุบัน): สงครามผสมผสานเต็มรูปแบบ
ความขัดแย้งนี้คือบทสรุปของวิวัฒนาการทั้งหมด ที่ปฏิบัติการทางทหารดำเนินไปพร้อมกับการต่อสู้อย่างดุเดือดในโลกออนไลน์ ทั้งสองฝ่ายใช้โซเชียลมีเดียเป็นอาวุธสื่อสารกับคนทั่วโลก ปล่อยข่าวจริงสลับปลอมเพื่อสร้างความสับสน และโจมตีทางไซเบอร์ต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ นี่คือ "สงครามผสมผสาน" (Hybrid Warfare) ที่สมบูรณ์แบบที่สุด
สงครามสารสนเทศ ได้กลายเป็นความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงในศตวรรษที่ 21 หรือ หลังปี 2000 เป็นต้นมา ...
มันคือภัยคุกคามที่มองไม่เห็นซึ่งสามารถสร้างผลกระทบได้อย่างมหาศาล ในยุคที่ทุกคนคือผู้รับสารและผู้สร้างสารในเวลาเดียวกัน ภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่ระบบป้องกันไวรัสที่ซับซ้อน แต่คือ "การคิดวิเคราะห์" และการตั้งคำถามต่อข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามาทุกวินาที เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่ตกเป็นเบี้ยในสมรภูมิรบที่มองไม่เห็นนี้
ที่มา : nato bbc britannica CNN effect economist
ข่าวที่เกี่ยวข้อง