World Pride 2030: ไทยชู "เศรษฐกิจสีพีช" ผงาดเอเชีย, ชนกำแพงกฎหมาย

หลังจากที่กรุงเทพฯ ประกาศท้าชิงตำแหน่งเจ้าภาพงาน World Pride 2030 กับลอนดอน ของอังกฤษ, บาร์เซโลนา ของสเปน และมอนทรีออล ของแคนาดา คำถามที่ตามมาคือ เรามีโอกาสและความพร้อมมากแค่ไหนในการชิงตำแหน่งนี้

การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ World Pride 2030 ถูกพูดถึงครั้งแรกในงาน Bangkok Pride 2025 เมื่อเดือนมิถุนายน 2025 หลังจากที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทยมีผลบังคับใช้เมื่อต้นปีที่ผ่าน ซึ่งทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ 3 ของเอเชียที่ LGBTQ+ สามารถแต่งงานกันได้ถูกกฎหมาย 

“พวกเราพยายามผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมมานาน ต้องขอบคุณชุมชน LGBTQ+, นักกิจกรรม และภาครัฐที่ช่วยกันผลักดันจนทำให้ กฎหมายที่ที่เราต่อสู้มาตลอด 20 ปีสำเร็จ ผลกระทบของกฎหมายนี้ มันส่งผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางของชุมชน LGBTQ+ ในเอเชีย” พรชัย วิทยเลิศพันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวบนเวที Canvas Forum 2025

เวที Canvas Forum 2025 ซึ่งจัดโดย Canvas Ventures International (CVI) ได้นำเสนอประเด็น World Pride 2030 เพราะเชื่อว่า การส่งเสริม “เศรษฐกิจสีพีช” หรือ Peach Economy ที่การผสมของ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Orange Economy) และ เศรษฐกิจสีชมพู (Pink Economy) ซึ่งมีเป้าหมายธุรกิจกับ LGBTQ+ จะเป็นโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

แต่คำถามสำคัญของเวทีนี้ คือ กรุงเทพฯ ในฐานะตัวแทนประเทศไทย มีความพร้อม รวมถึงมีความท้าทายอย่างไร ในการแย่งชิงเป้าหมายนี้ 

สว. พรชัย เริ่มต้นด้วยปัญหาโดยชี้ว่า แม้จะมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมแล้ว แต่ไทยยังคงต้องปรับตัวอีกมาก ทั้งเรื่องกฎหมายเพื่อลดการเลือกปฏิบัติ และการคุกคามทางเพศ การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ LGBTQ+ ให้กับคนในประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ชุมชน LGBTQ+ ต้องร่วมกับรัฐบาลในการผลักดัน

แน่นอนว่า การเป็นเจ้าภาพ World Pride นอกจากนำมาซึ่งความสนใจของนานาชาติ และชุมชน Pride ทั่วโลกแล้ว ยังจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจด้วย เพราะหากถอดบทเรียนจาก Sydney World Pride 2023 พบว่า ออสเตรเลียสามารถสร้างรายได้ถึง 3.91 พันล้านบาท

ด้าน สเตฟานี่ กาเลร่า (Stephanie Galera) จากองค์กร Open for Business ซึ่งทำงานร่วมกับธุรกิจสำหรับ LGBTQ+ ชี้ว่า ไทยมีความพร้อมด้านทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน ชุมชน Pride ที่เข้มแข็ง 

แต่สิ่งที่จำเป็นที่สุด รัฐบาลไทยต้องประกาศจุดยืนของประเทศให้ชัดเจนว่า จะไปให้ถึงเป้าหมาย World Pride และสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งให้กับคนในประเทศ รวมถึงต้องพยายามประสานความร่วมมือกับชุมชน LGBTQ+ ของประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศอื่นในเอเชีย เพื่อให้ได้รับการสนุบสนุน 

ทั้งนี้ การลงคะแนนเสียงว่าเมืองใดจะได้เป็นเจ้าภาพ World Pride 2030 จะมีขึ้นในการประชุมประจำปีและสมัชชาใหญ่ขององค์กร InterPride ในปี 2026 ซึ่งไทยจำเป็นต้องพยายามโน้มน้าวให้องค์กรสมาชิกกว่า 375 องค์กร จากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก เลือกกรุงเทพฯ เป็นเจ้าภาพ

เมื่อดูด้านความพร้อม หริสุดา บุญยวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่าย MICE Intelligence และนวัตกรรม สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) ในฐานะตัวแทนภาครัฐ เชื่อว่า กรุงเทพฯ มีความเหมาะสมในหลายด้าน

“ถ้ามองจุดแข็งของกรุงเทพฯ เรามีความพร้อมเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน มีสนามบินที่เชื่อมโยงทุกประเทศในเอเชียได้ มีโรงแรม และสถานที่จัดกิจกรรมจำนวนมาก แต่สิ่งที่เห็นว่า เรายังต้องพัฒนาคือ การสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและปลอดภัยสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ เช่นเดียวกับที่ซิดนีย์เคยทำ” หริสุดา กล่าว

ผู้อำนวยการฝ่าย MICE Intelligence เชื่อว่า นอกจากผลกระทบทางรายได้แล้ว การเป็นเจ้าภาพ World Pride 2030 สำคัญกับประเทศไทยมาก เพราะเชื่อว่าจะช่วยทำให้คนทั้งโลก โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของ เศรษฐกิจสีพีช มีกรุงเทพฯ เป็นหมุดหมายในการท่องเที่ยว และลงทุนในอนาคต

อย่างไรก็ตาม สว. พรชัย เชื่อว่า สิ่งที่ท้าทายที่สุดของไทยในการชิงตำแหน่งเจ้าภาพครั้งนี้ คือความไม่เสถียรภาพของการเมืองในประเทศที่อาจกระทบต่อจุดยืนด้านนโยบาย แต่หากผู้บริหารประเทศทุกคนหลังจากนี้มองเห็นเป้าหมายเดียวกัน การไปเดินหน้าไปสู่งาน Bangkok World Pride 2030 ก็ไม่น่าเป็นเรื่องเกินฝัน

Canvas Forums 2025 เป็นเวทีที่รวบรวมกลุ่มคนจากแวดวงต่างๆ ของไทยมากกว่า 70 คนจากหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งนักลงทุน ผู้ประกอบการ และผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด และมีเวทีสนทนาครอบคลุมประเด็นกว่า 15 เรื่องเกี่ยวกับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทั้งเทคโนโลยี ความงาม ความบันเทิง สุขภาพ และอื่นๆ

Canvas Forum 2025 จัดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน วันที่ 30 และ 31 กรกฎาคม และต่อเนื่องไปถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ที่ Club Siam Glowfish ชั้น 11 อาคาร สยามปทุมวัน เฮ้าส์ กรุงเทพฯ