svasdssvasds

ทบ.แจงสถานะ "เชลยศึกกัมพูชา" ย้ำไทยดูแลตามหลักมนุษยธรรมสากล

ทบ.แจงสถานะ "เชลยศึกกัมพูชา" ย้ำไทยดูแลตามหลักมนุษยธรรมสากล

กองทัพบก ชี้แจงสถานะเชลยศึกกัมพูชา ย้ำไทยดูแลตามหลักมนุษยธรรมสากล ยึดตามพันธกรณีแห่งอนุสัญญาเจนีวา พร้อมประกาศชัดจะส่งกลับเมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธยุติลง

SHORT CUT

  • กองทัพบกชี้แจงสถานะทหารกัมพูชา 20 นายที่ถูกควบคุมตัวหลังเหตุปะทะชายแดนว่าเป็น "เชลยศึก" ตามอนุสัญญาเจนีวา
  • ยืนยันให้การดูแลเชลยศึกตามหลักมนุษยธรรมสากลอย่างครบถ้วน ทั้งด้านปัจจัยพื้นฐาน การรักษาพยาบาล และการปฏิบัติต่ออย่างมีมนุษยธรรม
  • ได้ส่งตัวเชลยศึกที่บาดเจ็บ 2 นายกลับประเทศแล้ว ส่วนที่เหลืออีก 18 นายจะถูกส่งกลับเมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธยุติลงโดยสมบูรณ์

กองทัพบก ชี้แจงสถานะเชลยศึกกัมพูชา ย้ำไทยดูแลตามหลักมนุษยธรรมสากล ยึดตามพันธกรณีแห่งอนุสัญญาเจนีวา พร้อมประกาศชัดจะส่งกลับเมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธยุติลง

วันที่ 4 สิงหาคม 2568 ทีมโฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจง ตามที่ได้เกิดเหตุปะทะระหว่างกำลังทหารไทยกับกองกำลังทหารฝ่ายกัมพูชา บริเวณพื้นที่บ้านซำแต อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 สืบเนื่องจากฝ่ายกัมพูชาได้กระทำการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และดำเนินการโจมตีเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทย ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องดำเนินการตอบโต้ทางทหารอย่างเหมาะสม เพื่อยับยั้งการรุกราน และผลักดันกองกำลังฝ่ายกัมพูชาออกจากพื้นที่ดังกล่าว

ภายหลังการปะทะ ได้มีกำลังพลฝ่ายกัมพูชาจำนวน 20 นายยอมจำนนจากการสู้รบ โดยกองทัพบกได้ดำเนินการปลดอาวุธและควบคุมตัวตามกระบวนการทางทหาร พร้อมทั้งยึดถือแนวทางการปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรมสากลอย่างเคร่งครัดในทุกขั้นตอน ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างกว้างขวาง และมีการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จและบิดเบือนจากฝ่ายกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง

เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง กองทัพบกขอชี้แจงว่า กำลังพลฝ่ายกัมพูชาที่ยอมจำนนและอยู่ในการควบคุมของฝ่ายไทย ได้รับการรับรองสถานะตามกฎหมายระหว่างประเทศว่าเป็น “เชลยศึก” ตามข้อบทแห่งอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 ซึ่งประเทศไทยและประเทศกัมพูชาเป็นรัฐภาคีร่วมกัน โดยอนุสัญญาดังกล่าวบัญญัติชัดเจนว่าสถานะเชลยศึกจะเกิดขึ้นเมื่อคู่กรณีทั้งสองฝ่ายอยู่ในสถานะของความขัดแย้งด้วยอาวุธ และผู้ที่ถูกควบคุมตัวเป็นบุคคลซึ่งสังกัดกองกำลังติดอาวุธของรัฐฝ่ายตรงข้าม

ทบ.แจงสถานะเชลยศึกกัมพูชา ย้ำไทยดูแลตามหลักมนุษยธรรมสากล

สถานะเชลยศึกมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการประณาม หากแต่เป็นการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลในสถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธ ซึ่งรวมถึง

  • การได้รับความคุ้มครองจากการประทุษร้าย การทรมาน การบังคับขู่เข็ญ และการทดลองทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์
  • การได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม ปราศจากการดูหมิ่น หรือการเผยแพร่สู่สาธารณะโดยไม่เหมาะสม
  • การจัดหาสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐาน อาทิ อาหาร น้ำดื่ม เครื่องแต่งกาย การดูแลด้านสุขอนามัย และการรักษาพยาบาล
  • การห้ามมิให้กักขังเชลยศึกในสถานที่คุมขังตามประมวลกฎหมายอาญา
  • สิทธิในการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา และการได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับภูมิลำเนาเมื่อความขัดแย้งด้วยอาวุธสิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์ (มิใช่เพียงแค่การหยุดยิง) 

ภายหลังการควบคุมตัว กองทัพบกได้ดำเนินการเคลื่อนย้ายเชลยศึกทั้งหมดออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยจากการสู้รบไปยังเขตปลอดภัยในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 พร้อมทั้งจัดเตรียมการ สนับสนุนด้านปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่ อาหาร น้ำดื่ม เครื่องแต่งกาย การตรวจร่างกายและสุขภาพโดยทีมแพทย์ ตลอดจนปฏิบัติต่อเชลยศึกตามกรอบของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างครบถ้วน

ต่อมา เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 กองทัพบกได้ดำเนินการส่งตัวเชลยศึกชาวกัมพูชาที่ได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 นาย กลับไปยังประเทศต้นทาง ผ่านทางจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม จ.สุรินทร์ ภายหลังจากได้รับการรักษาพยาบาลโดยฝ่ายไทยจนพ้นขีดอันตรายและสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย ส่วนเชลยศึกที่เหลืออีก 18 นาย ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายไทยในสถานะเชลยศึก และจะได้รับการส่งกลับเมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธยุติลงโดยสมบูรณ์ตามข้อกำหนดในอนุสัญญาเจนีวา

กองทัพบกขอยืนยันว่า “เชลยศึก” เป็นสถานะทางกฎหมายที่ได้รับการรับรองภายใต้กรอบของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ มิใช่การจำกัดสิทธิมนุษยชน หากแต่เป็นกลไกในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในสภาวะสงคราม กองทัพบกยังคงยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรมระหว่างประเทศ และพันธกรณีที่ประเทศไทยได้ให้ไว้ในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญาเจนีวา พร้อมทั้งขอยืนยันว่าจะดำเนินการต่อกำลังพลฝ่ายตรงข้าม ตลอดจนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สู้รบ ด้วยความเคารพต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเคร่งครัด

ที่มา : ทีมโฆษกกองทัพบก

related