SHORT CUT
"นฤมล" เตรียมดันวิชาประวัติศาสตร์-หน้าที่พลเมือง เป็นวิชาเอกสอบเข้า ม.1 และม.4 ปลูกฝังประชาธิปไตยและความเป็นไทย
นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมโรงเรียนพะเยาวิทยาคม จ.พะเยา เพื่อรับฟังเสียงสะท้อนโดยตรงจากคุณครูและนักเรียน โดยมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา ร่วมลงพื้นที่ด้วย การลงพื้นที่ครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดใหม่ในการกำหนดนโยบาย ศธ. ที่เน้นการรับฟังจากภาคปฏิบัติจริง แทนที่จะอิงจากมุมมองของผู้บริหารเพียงอย่างเดียว เนื่องจากรัฐมนตรีฯ ยอมรับว่าตนไม่มีประสบการณ์ตรงจากการเป็นคุณครูหรือผู้บริหารโรงเรียนมาก่อน
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การยกระดับวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ให้มีความสำคัญทัดเทียมกับวิชาหลักอื่นๆ อย่าง วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ โดยมีแนวคิดให้เป็นวิชาที่ใช้ในการสอบเข้าเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่ 4
รมว.ศธ.ให้เหตุผลว่า การยกระดับครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้เยาวชนเห็นถึงความสำคัญของรากเหง้าประชาธิปไตย และเข้าใจประวัติศาสตร์ชาติไทยอย่างลึกซึ้งและถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของประเทศ
อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ยังต้องมีการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อพิจารณาถึงความพร้อมและแนวทางการปฏิบัติจริงก่อนที่จะเริ่มดำเนินการ
ปัจจุบันวิชาประวัติศาสตร์ถูกแยกออกจากวิชาสังคมศึกษาและมีสถานะเป็นวิชาที่มีหน่วยกิตชัดเจนมาตั้งแต่ปี 2552 โดยมีมาตรฐาน ส 4.3 ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเข้าใจความเป็นมาของชาติ เกิดความรักและความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ซึ่งการเน้นการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ในโรงเรียนไทยนั้นมีมาอย่างต่อเนื่องนานกว่า 20 ปีแล้ว
ตอนเป็นเด็ก ทุกคนน่าจะเคยสงสัยว่าทำไมต้องมานั่งเรียนเรื่องราวในอดีตที่ดูไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตเลย ทั้งชื่อบุคคลที่เขียนยาก ปี พ.ศ. หรือ ค.ศ. ที่ต้องจำว่าเกิดอะไรขึ้น และเรื่องราวสงครามที่ดูห่างไกลตัว จนบางทีก็เผลอหลับในห้องเรียนไปบ้าง
เราอาจคิดว่าวิชาประวัติศาสตร์เป็นแค่เรื่องเก่าๆ ที่ต้องท่องจำเพื่อไปสอบ และเมื่อเรียนจบแล้วก็ไม่ได้เอาไปใช้ประโยชน์ในการทำงานเลย แต่เมื่อเร็วๆ นี้ เหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในโลกน่าจะทำให้หลายคนเข้าใจแล้วว่าทำไมเรื่องของ "สงครามและความขัดแย้ง" ที่เราเคยเรียนผ่านหูไป กลับกลายเป็นเรื่องที่ผู้คนให้ความสนใจและพยายามค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจข่าวสารในปัจจุบัน
หัวใจสำคัญของการเรียนประวัติศาสตร์คือ "อดีตเป็นรากฐานของปัจจุบัน และปัจจุบันนำมาซึ่งอนาคต" แม้ว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันและมองไปถึงอนาคต แต่การเรียนรู้อดีตจะทำให้เราเข้าใจตัวเองและโลกมากขึ้น
การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไม่ได้มีไว้เพื่อจมอยู่กับอดีต แต่มีไว้เพื่อทำความเข้าใจบทเรียนจากอดีต เพื่อไม่ให้เราทำผิดพลาดซ้ำรอยเดิม และเพื่อมองเห็นว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตได้ส่งผลต่อวิถีชีวิตและสังคมของเราในทุกวันนี้อย่างไรบ้าง
ประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวในหนังสือเรียน แต่มันคือ เรื่องราวของมนุษย์ ที่เต็มไปด้วยความสำเร็จ ความล้มเหลว ความหวัง และความขัดแย้ง การเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้จะช่วยให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้นและเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในปัจจุบันได้อย่างมีสติมากขึ้น
ความสำคัญของวิชาหน้าที่พลเมือง ไม่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรมเหมือนผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ แต่มีผลอย่างยิ่งต่อทัศนคติ การดำเนินชีวิต และพฤติกรรมการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในระยะยาว ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาสังคมโดยรวมของประเทศให้ดียิ่งขึ้น หากประเทศใดมีพลเมืองที่ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและส่วนรวมมากเท่าไร โอกาสในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น. พลเมืองศึกษาช่วยพัฒนาเด็กและเยาวชนในหลากหลายมิติ
นอกจากนี้ การศึกษาพลเมืองยังปลูกฝังให้เข้าใจถึงสาระสำคัญของการเป็นพลเมืองที่แท้จริง ผสานเข้ากับความรู้ความเข้าใจและรู้จักเคารพความหลากหลายที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายทางวัฒนธรรม เพศ ศาสนา ความเชื่อ รวมถึงจารีตประเพณีที่แตกต่างกันไปตามแต่ละสังคม การสอนพลเมืองยังควรส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะและความรู้ในการชั่งน้ำหนักหลักฐาน อภิปราย และให้เหตุผลการสำรวจประเด็นทางการเมืองและสังคมอย่างมีวิจารณญาณ