SHORT CUT
ตำรวจจับกุมเด็กนักเรียนกัมพูชาวัย 13 ปี เพื่อส่งกลับประเทศ หลังถูกแจ้งเข้าเมืองผิดกฎหมาย นักวิชาการชี้ผิดอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและกฎหมายสากล ด้าน ตม.สุรินทร์ ย้ำให้กลับไปทำเอกสารเข้าเมืองถูกกฏหมาย จะได้กลับมาเรียนใหม่
จากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งซึ่งเป็นครูโรงเรียนใน อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ โพสต์เรื่องราวว่ามีตำรวจเข้ามานำตัวนักเรียน วัย 13 ปี หลังมีผู้แจ้งความว่า มีสถานะเป็นบุคคลต่างด้าว เนื่องจากมีแม่เป็นชาวกัมพูชาลักลอบเข้าเมืองมาตั้งแต่เด็กยังเป็นทารก โดยพ่อแท้จริงก็มีสัญชาติกัมพูชา ส่วนพ่อเลี้ยงเป็นคนไทย ทั้งที่เด็กเติบโต ใช้ชีวิต และศึกษาเล่าเรียนในไทยมาตลอด พูด อ่าน เขียนภาษาไทยได้ แต่ไม่สามารถสื่อสารภาษากัมพูชาได้เลย นักเรียนเป็นเด็กเรียนดี จบประถมฯ ด้วยเกรดเฉลี่ย 4.00 มีความสามารถด้านดนตรี กีฬา และวิชาการ
ระหว่างอยู่ที่โรงพัก แม่และลูกต่างร้องไห้ ครูเล่าว่าแม่ไม่รู้จะกลับไปอยู่ที่ไหนเพราะไม่มีบ้านในกัมพูชา หากถูกส่งกลับไปยังจ.กำปงจาม ซึ่งอยู่ไกลและไม่คุ้นเคย จะไม่สามารถตั้งหลักได้ ขณะเดียวกันนักเรียนคนดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนชุดจากชุดลูกเสือไปเป็นชุดไปรเวท เพื่อรอส่งตัวไปฝากขังที่ด่านกาบเชิง ก่อนส่งต่อไปด่านสระแก้ว ย้ำว่าทุกอย่างยังต้องดำเนินไปตามกระบวนการทางกฎหมาย แต่ครูและเพื่อนครู ก็พยายามติดตามหาทางช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด
อ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล นักวิชาการด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่าการจับกุมเด็กในโรงเรียนโดยไม่มีหมายจับและไม่มีเหตุกระทำผิดซึ่งหน้า ถือเป็นการกระทำที่ผิดทั้งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายคุ้มครองเด็กหลายฉบับ อีกทั้งยังขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก การส่งเด็กออกนอกประเทศโดยไม่พิจารณาสถานะเด็กที่เติบโตในไทยตั้งแต่ทารกและมีผลการเรียนดีเยี่ยม ถือเป็นการละเมิดสิทธิเด็กอย่างร้ายแรงและเสื่อมเสียชื่อเสียงของประเทศไทย
กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มี MOU กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่ระบุว่าจะไม่จับกุมหรือส่งเด็กไร้สัญชาติออกนอกประเทศ โดยจะหาทางช่วยเหลือตามความเหมาะสม ขณะนี้หน่วยงานดังกล่าวกำลังประสานงานเพื่อระงับการส่งตัวเด็กกลับกัมพูชา และกระทรวงมหาดไทย รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ได้รับทราบเรื่องแล้ว นอกจากนี้ ยูนิเซฟ (UNICEF) ซึ่งดูแลเรื่องสิทธิเด็ก ได้ติดตามความคืบหน้าเพื่อให้มั่นใจว่าการแก้ไขปัญหาจะเป็นไปตามหลักสากล
ด้านนางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภาและอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เผยว่า การนำเด็กเข้าคุกในข้อหาเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ถือเป็นความผิดพลาดร้ายแรงและน่าอับอายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะเมื่อเด็กไม่ได้กระทำผิดด้วยตนเอง แต่ติดตามผู้ปกครองมา
การกระทำนี้ขัดต่อหลักความยุติธรรมสำหรับเด็ก และหลักการประโยชน์สูงสุดของเด็ก ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก รวมถึงอนุสัญญาเจนีวาและกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล ที่กำหนดให้เด็กที่หนีภัยความขัดแย้งต้องได้รับการคุ้มครองพิเศษ การจับกุมเด็กครั้งนี้มีลักษณะเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและจำกัดการเข้าถึงการศึกษาของเด็ก ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เรียกร้องให้ตำรวจปล่อยตัวเด็กทันที พร้อมเยียวยาสภาพจิตใจและรับประกันว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก
รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุผ่านเฟซบุ๊ก ว่า กระทรวง พม. ควรเร่งช่วยเหลือเด็กตามนโยบายที่ประเทศไทยถอนข้อสงวนข้อ 22 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเมื่อวันที่ 30 ส.ค.2567 เพื่อยกระดับการคุ้มครองเด็กผู้ลี้ภัยและเด็กผู้แสวงหาที่พักพิง โดยย้ำว่าเด็กคนนี้ไม่ควรถูกส่งกลับกัมพูชา เนื่องจากเติบโตในไทยและไม่สามารถใช้ภาษากัมพูชาได้ การส่งกลับอาจกระทบอนาคตของเด็กอย่างรุนแรง
กระทรวง พม. อยู่ในระหว่างการตั้งคณะทำงานเพื่อส่งเสริมและติดตามการเข้าถึงสิทธิเด็ก โดยจะประสานทุกภาคส่วนเพื่อปกป้องเด็กตามหลักการไม่เลือกปฏิบัติและเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก
ด้าน สำนักข่าว The Reporters รายงานว่า พ.ต.ท.อุดร ชาวแขก รองผกก.ตรวจคนเข้าเมือง จ.สุรินทร์ ชี้แจงกรณีมีการจับกุมแม่และเด็กชาวกัมพูชาเข้าเมืองผิดกฏหมาย ที่สภ.บัวเชด จ.สุรินทร์ ซึ่งเด็กอายุ 13 ปี ยังศึกษาอยู่ที่ รร.บัวเชดวิทยา ซึ่งจากการสอบสวน พบว่า แม่เป็นชาวกัมพูชา เดินทางเข้าเมืองผ่านด่านช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อปี 2560 โดยมีบัตรผ่านแดนชั่วคราว Border Pass แต่ไม่พบข้อมูลการตีตราเข้าเมืองของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จึงถือว่าเข้าเมืองผิดกฏหมาย และแม่ได้พาลูกชาย ซึ่งพบว่ามีใบสูติบัตร ที่ รพ.กำปงจาม ประเทศกัมพูชา จึงเชื่อได้ว่า เป็นชาวกัมพูชา
จากการพูดคุยของทีมสหวิชาชีพ ที่มีทั้ง พม.ครูและผู้ปกครอง รวมถึงตัวเด็ก ได้สมัครใจที่จะเดินทางกลับกัมพูชา เพื่อไปทำบัตรประจำตัวให้ถูกต้อง และจะได้เข้าเมืองให้ถูกกฏหมาย และกลับมาเรียนต่อในประเทศไทยได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเด็กยินดีกลับไปพร้อมกับแม่ ขณะนี้จึงส่งตัวเด็กและแม่ไปยัง ตม.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อส่งกลับตามขั้นตอน
พ.ต.ท.อุดร ยืนยันว่า ตม.สุรินทร์ และทุกฝ่ายคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรม เพื่อให้การช่วยเหลือเด็กและแม่ชาวกัมพูชาอย่างเต็มที่แล้ว เพียงแต่แม่ไม่มีบัตรประจำตัวแสดงตัวตน และเข้าเมืองผิดกฏหมาย รวมถึงเด็กยังไม่มีหลักฐานการมีสัญชาติ หรือบัตรแสดงตัวอื่นๆนอกจากใบเกิด จึงอยากให้ไปทำเอกสารเข้าเมืองอย่างถูกต้องตามกฏหมาย
ที่มา : Prinya Thaewanarumitkul , Jessada Denduangboripant , Angkhana Neelapaijit ,