ทำความรู้จัก กลไกการ "ยุบสภา" คืออะไร นี่คือเครื่องมือ ครื่องมือถ่วงดุลระหว่างฝ่ายบริหาร vs. ฝ่ายนิติบัญญัติ - คือไพ่ใบสุดท้ายของรัฐบาล และการคืนอำนาจสู่ประชาชน
ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองไทยที่พลิกผันอย่างรวดเร็ว เครื่องมือที่เรียกว่า "การยุบสภา" ได้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง เมื่อรัฐบาลรักษาการของนายภูมิธรรม เวชยชัย ตัดสินใจทูลเกล้าฯ ร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร อันเนื่องมาจากภาวะไร้เสถียรภาพหลังพรรคประชาชนประกาศจะโหวตหนุน อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกฯคนต่อไป ทำให้รัฐบาลผสมของพรรคเพื่อไทยกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในทันที
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่จะมีแนวโน้ม นำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่ยังตอกย้ำถึงบทบาทของการยุบสภาในฐานะกลไกสำคัญในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขทางตันทางการเมืองและยุติความขัดแย้ง เมื่อฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถทำงานร่วมกันได้อีกต่อไป
[ การยุบสภาคืออะไร: อำนาจถ่วงดุลในมือฝ่ายบริหาร ]
การยุบสภา (Dissolution of Parliament) คือการสิ้นสุดวาระของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ทั้งหมดในคราวเดียวกันก่อนครบวาระตามปกติ โดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ถวายคำแนะนำแด่พระมหากษัตริย์เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกา ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งและต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่
แนวคิดนี้มีรากฐานมาจากหลักการแบ่งแยกอำนาจที่ไม่เด็ดขาดในระบบรัฐสภา ซึ่งต่างจากระบบประธานาธิบดีที่ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติแยกจากกันอย่างชัดเจน ในระบบรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจตรวจสอบและลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้ ในทางกลับกัน ฝ่ายบริหารก็มีอำนาจยุบสภาเพื่อ "ถ่วงดุล" อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติเช่นกัน
วัตถุประสงค์หลักของการยุบสภามีอยู่ 2 ประการ คือ:
• เพื่อควบคุมและถ่วงดุลฝ่ายนิติบัญญัติ: เมื่อรัฐบาลไม่สามารถควบคุมเสียงข้างมากในสภาได้ หรือเมื่อร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลถูกตีตกไป การยุบสภาจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของฝ่ายบริหาร
• เพื่ออุทธรณ์ข้อขัดแย้งต่อประชาชน: ในภาวะที่เกิดความขัดแย้งรุนแรงจนสภากลายเป็นอัมพาต การยุบสภาคือการคืนอำนาจให้ประชาชนได้ตัดสินใจผ่านการเลือกตั้ง ว่าจะมอบความไว้วางใจให้แก่ฝ่ายใดเข้ามาบริหารประเทศต่อไป
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะทรงใช้ก็ต่อเมื่อมีคำแนะนำจากนายกรัฐมนตรี และจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน
เมื่อพระราชกฤษฎีกายุบสภามีผลบังคับใช้:
จัดการเลือกตั้งใหม่: คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องประกาศวันเลือกตั้งทั่วไปภายใน 5 วัน โดยกำหนดให้จัดขึ้นภายใน 45-60 วัน
สถานะของ สส. และ ครม.: สมาชิกภาพของ สส. ทุกคนสิ้นสุดลงทันที และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่ง แต่จะยังคงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ "รัฐบาลรักษาการ" จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
ร่างกฎหมายที่ค้างอยู่: ร่างพระราชบัญญัติต่างๆ ที่ยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาจะถือว่าตกไปทั้งหมด
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ประเด็นข้อกฎหมายที่น่าสนใจคืออำนาจของ "นายกรัฐมนตรีรักษาการ" ในการทูลเกล้าฯ ยุบสภา ซึ่งยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักกฎหมาย แต่ฝ่ายรัฐบาลยืนยันว่าผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีย่อมมีอำนาจเต็มตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วย่อมขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัย
ประเทศไทยบัญญัติเรื่องการยุบสภาไว้ตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรกในปี พ.ศ. 2475 แต่การยุบสภาครั้งแรกเกิดขึ้นจริงในปี พ.ศ. 2481 ในสมัยรัฐบาลของพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา หลังจากรัฐบาลแพ้โหวตในสภาในประเด็นร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ
ในปัจจุบัน เหตุผลที่นำไปสู่การยุบสภามีความซับซ้อนกว่านั้น อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น:
• ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ
• รัฐบาลต้องการชิงความได้เปรียบในช่วงที่กำลังได้รับความนิยม
• เกิดทางตันในการจัดตั้งรัฐบาล
• มีแรงกดดันอย่างหนักจากประชาชน
กรณีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้เครื่องมือนี้เพื่อหลีกเลี่ยง "รัฐบาลเป็ดง่อย" (lame duck government) ซึ่งเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ไม่มีอำนาจต่อรองและไม่สามารถผลักดันนโยบายสำคัญได้ การตัดสินใจยุบสภาก่อนการเลือกนายกรัฐมนตรีจึงถูกมองว่าเป็น "ทางออกที่สง่างาม" เพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะไร้เสถียรภาพที่อาจยืดเยื้อ
การยุบสภาจึงไม่ใช่เพียงแค่กระบวนการทางกฎหมาย แต่เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่มีพลวัตสูง เป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่ฝ่ายบริหารใช้เมื่อเผชิญกับทางตัน และท้ายที่สุด คือการยอมรับในอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย ว่าเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดอนาคตของประเทศผ่านคูหาเลือกตั้งนั่นเอง