SHORT CUT
เมื่อ Longevity ถูกผูกกับความมั่งคั่ง: งานวิจัยเผยคนรวยอยู่ได้นานกว่าคนจนกว่าสิบปี อายุยืนไม่ใช่แค่เรื่องอาหารและการออกกำลัง แต่คือปัญหาโครงสร้าง ?
Longevity คือคำที่ใช้กันมากขึ้นในโลกปัจจุบัน หมายถึง “การมีอายุยืน” แต่ไม่ใช่เพียงการมีชีวิตที่ยาวนานขึ้นเท่านั้น หากยังรวมถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในช่วงเวลานั้นด้วย แนวคิดนี้จึงไม่ใช่แค่การเลี่ยงความตายให้นานที่สุด แต่คือการทำให้แต่ละปีของชีวิตมีความแข็งแรง กระฉับกระเฉง และมีความสุขมากที่สุด
พื้นฐานของ Longevity อยู่บนหลักการง่าย ๆ ที่ทุกคนคุ้นเคย นั่นคือ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่สมดุล และการดูแลสุขภาพจิตควบคู่ไปด้วย สิ่งเหล่านี้คือ “เสาหลัก” ที่ช่วยยืดอายุขัยและชะลอความเสื่อมของร่างกายได้จริง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งเทคโนโลยีราคาแพงหรือผลิตภัณฑ์หรูหราเสมอไป
Longevity ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องสุขภาพ แต่ยังเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ การตลาด และสถานะทางสังคมด้วยและเมื่อมองลึกไปกว่านั้น งานวิจัยทางสังคมศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ก็ยืนยันชัดว่า “ความมั่งคั่ง” มีอิทธิพลโดยตรงต่ออายุขัยของผู้คน
หนึ่งในงานศึกษาที่สำคัญคือ Health and Retirement Study (HRS) ซึ่งเก็บข้อมูลประชากรอายุ 50 ปีขึ้นไปกว่า 35,000 คน ระหว่างปี 1992–2018 และพบสิ่งที่น่าตกใจว่า ความมั่งคั่งที่ต่างกันสามารถสร้างช่องว่างอายุขัยได้ถึง 13.5 ปี คนที่อยู่ในกลุ่มทรัพย์สินต่ำสุดมีอายุเฉลี่ยเพียง 72.3 ปี ขณะที่คนในกลุ่มสูงสุดมีอายุเฉลี่ยถึง 85.8 ปี ตัวเลขนี้สะท้อนความจริงอันโหดร้ายว่า แม้จะปรับปัจจัยอย่างอายุ เพศ การศึกษา หรือรายได้แล้วก็ตาม ความมั่งคั่งก็ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดที่สัมพันธ์กับการมีชีวิตที่ยืนยาว
คำถามจึงเกิดขึ้นว่า หากเราลดความเหลื่อมล้ำได้ จะช่วยเพิ่มอายุขัยของประชากรโดยรวมได้หรือไม่? งานวิจัยชุดเดียวกันได้จำลองสถานการณ์เพื่อหาคำตอบ และผลลัพธ์ก็น่าคิดอย่างยิ่ง หากความมั่งคั่งถูกกระจายอย่างเท่าเทียม (perfect equality) อายุเฉลี่ยของชาวอเมริกันจะเพิ่มขึ้นกว่า 2 ปีโดยรวม และสำหรับคนที่มั่งคั่งน้อยที่สุดนั้น อายุเฉลี่ยอาจยาวขึ้นถึง 8–9 ปีเลยทีเดียว
ดังนั้นหากสังคมต้องการให้ทุกคนมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ไม่ใช่แค่พัฒนาเทคโนโลยีการแพทย์หรือกระตุ้นให้คนออกกำลังกายเท่านั้น แต่ต้องหันมามองการจัดการ โครงสร้างทางเศรษฐกิจและการกระจายความมั่งคั่ง ให้เป็นธรรมมากขึ้น เพราะนั่นคือการลงทุนที่สามารถเพิ่ม “อายุขัยรวม” ของประชากรทั้งประเทศ
กล่าวได้ว่า Longevity อาจไม่ใช่เพียงเรื่องของปัจเจกบุคคลที่เลือกจะดูแลตัวเองหรือไม่ดูแลตัวเอง แต่เป็นประเด็นเชิงโครงสร้างที่สังคมและภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาท หากเราปล่อยให้ความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่งถ่างออกไปเรื่อย ๆ ย่อมหมายถึงช่องว่างของอายุขัยที่กว้างขึ้นเช่นกัน ในทางกลับกัน หากรัฐสามารถออกแบบนโยบายที่ช่วยกระจายโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้าง “ฐานสุขภาพ” ให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงได้เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงอาหารที่ดี บริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ หรือสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีชีวิตที่แข็งแรง ก็จะทำให้ Longevity ไม่ใช่สิทธิพิเศษของคนรวย แต่กลายเป็นคุณภาพชีวิตที่ทุกคนพึงได้รับอย่างใกล้เคียงกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง