svasdssvasds

เปิด "10 จังหวัดคนจนสูงที่สุด" พบ 2 จ. ทำสถิติสูงต่อเนื่อง 15 ปี

เปิด "10 จังหวัดคนจนสูงที่สุด" พบ 2 จ. ทำสถิติสูงต่อเนื่อง 15 ปี

เปิดข้อมูล 10 จังหวัดยากจนที่สุด แม่ฮ่องสอนครองแชมป์ พบคนจนเพิ่มขึ้นถึง 3.43 ล้านคนในรอบปี พบมี 2 จังหวัด คนจนสูงต่อเนื่องถึง 15 ปี

SHORT CUT

  • สภาพัฒน์ฯ เปิดเผย 10 จังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุด โดยแม่ฮ่องสอนมีสัดส่วนความยากจนสูงสุดที่ 25.69%
  • พบว่าจังหวัดแม่ฮ่องสอนและปัตตานีเผชิญกับปัญหาความยากจนเรื้อรัง โดยติดอันดับจังหวัดที่มีคนจนสูงที่สุดต่อเนื่องนานกว่า 15 ปี
  • 5 จังหวัดที่มักติด 10 อันดับแรกและมีแนวโน้มความยากจนเรื้อรัง ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และตาก

เปิดข้อมูล 10 จังหวัดยากจนที่สุด แม่ฮ่องสอนครองแชมป์ พบคนจนเพิ่มขึ้นถึง 3.43 ล้านคนในรอบปี พบมี 2 จังหวัด คนจนสูงต่อเนื่องถึง 15 ปี

สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เปิดเผยรายงานสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยในปี 2567 โดยข้อมูลล่าสุดในสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำปี 2567 โดยพบจำนวนคนจนเพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน หรือ 4.89% ของประชากรทั้งประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่อยู่ที่ 3.41% โดยในปีนี้ได้ปรับเส้นความยากจนปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน จากเดิม 3,043 บาทต่อคนต่อเดือน

สำหรับเส้นความยากจน คือ การคำนวณค่าใช้จ่ายขั้นต่ำต่อคนต่อเดือนที่ครัวเรือนจำเป็นต้องมีเพื่อดำรงชีวิตอย่างน้อยในระดับมาตรฐาน

เปิด 10 จังหวัดที่มีคนจนสูงที่สุดในไทย 

  1. แม่ฮ่องสอน
  2. ยะลา
  3. ปัตตานี
  4. นราธิวาส
  5. อุบลราชธานี
  6. สระแก้ว
  7. พัทลุง
  8. ศรีสะเกษ
  9. เชียงราย
  10. ตาก

ข้อมูลจังหวัดที่มีสัดส่วนความยากจนสูงสุด 10 อันดับ เรียงจากมากไปน้อย

  1. แม่ฮ่องสอน  25.69%
  2. ยะลา 25.41%
  3. ปัตตานี 25.39%
  4. นราธิวาส  21.07%
  5. อุบลราชธานี  20.34%
  6. สระแก้ว 16.00%
  7. พัทลุง  15.74%
  8. ศรีสะเกษ 14.08%
  9. เชียงราย  13.69%
  10. ตาก  13.37%

ทั้งนี้ พบว่า 5 ใน 10 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และตาก มักติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของจังหวัดที่มี สัดส่วนคนจนสูงสุดในปีอื่น ๆ ด้วย คือ มีแนวโน้มเผชิญกับปัญหาความยากจนเรื้อรัง โดยแม่ฮ่องสอนและปัตตานี ยังมีปัญหาความยากจนเรื้อรังนานกว่า 15 ปี

 

ทั้งนี้หากพิจารณาเรื่องความยากจนจำแนกเป็นภูมิภาคของไทย พบว่าการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความแตกต่างเชิงโครงสร้าง ระหว่างภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ ความไม่สมดุลนี้สะท้อนชัดทั้งในมิติเศรษฐกิจและมิติสังคม และได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของปัญหาความเหลือมล้ำที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและการเติบโตของประเทศในระยะยาว

ความเหลื่อมล้ำในเชิงเศรษฐกิจ ความเจริญยังคงกระจุกตัวในกรุงเทพฯ และภาคกลาง โดยกรุงเทพฯ มีแรงงานกว่า 25% อยู่ในภาคบริการสมัยใหม่ ครอบคลุมสาขาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี การเงิน การแพทย์ และการสื่อสาร ขณะที่ภาคกลางยังคงเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมหลักของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทำให้ทั้งสองพื้นที่ดึงดูดเงินลงทุนและแรงงานจำนวนมาก สร้างความได้เปรียบเหนือภูมิภาคอื่น

ในทางตรงกันข้าม ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ ยังคงพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยเฉพาะภาคอีสานที่มีแรงงานในภาคเกษตรมากกว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานทั้งภูมิภาค ทำให้ครัวเรือนมีความเปราะบางและเสี่ยงต่อความยากจนสูง โดยเฉพาะเมื่อเผชิญปัจจัยภายนอก เช่น ภัยธรรมชาติหรือความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร ซึ่งกระทบต่อรายได้และความมั่นคงของครัวเรือน รวมถึงส่งผลต่อเนื่องไปยังอุตสาหกรรมแปรรูปและบริการที่เกี่ยวข้อง

ด้านสังคม พบว่า ภาคเหนือมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปสูงสุดที่ 31.9% ตามด้วยภาคอีสานที่ 28.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศที่ 24.97% ซึ่งอาจกลายเป็นความท้าทายด้านกำลังแรงงานและเพิ่มภาระการดูแลผู้สูงอายุในอนาคต

ในขณะที่กรุงเทพฯ มีประชากรวัยแรงงานมากที่สุด สะท้อนบทบาทในการดึงดูดแรงงานจากต่างภูมิภาค ส่วนภาคใต้และอีสานมีสัดส่วนประชากรวัยเด็กสูงที่สุดของประเทศ แสดงถึงศักยภาพด้านทุนมนุษย์ หากได้รับการลงทุนด้านการศึกษาและพัฒนาทักษะอย่างเหมาะสม ก็จะเป็นกำลังแรงงานคุณภาพในอนาคต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related