สุดยอดแห่งความเร็ว! ถอดรหัสการซ่อม หลุมยุบฟูกูโอกะใน 7 วัน ต้องทำอะไรบ้าง ทำไมปัญหาต่างๆถึงถูกแก้ไขอย่างรวดเร็ว และเป็นระบบ
จากเหตุกาณ์ ถนนทรุดตัว ขนาดใหญ่ บริเวณหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ทำให้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ ฟูกูโอกะ เมื่อ 9 ปีที่แล้ว
เหตุการณ์ถนนทรุดตัวเป็นหลุมขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลก แต่สิ่งที่ทำให้กรณีของเมืองฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2016 กลายเป็นหนึ่งในไวรัล คือ ความเร็วอันน่าทึ่ง ในการรับมือกับวิกฤต
เช้ามืด 8 พ.ย. 2016 ใจกลางย่านธุรกิจของเมืองฟูกูโอกะต้องหยุดชะงัก เพราะเกิดยุบตัวลงเป็นหลุมยักษ์ขนาดกว้าง 30 เมตร ลึก 15 เมตร
ผลกระทบที่ตามมาคือไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง ระบบแก๊สและประปาถูกตัดขาด อาคารโดยรอบตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะพังถล่มตามลงไป แต่ท่ามกลางความโกลาหลสับสนนั้น สิ่งที่ทั่วโลกได้เห็นคือการตอบสนองที่รวดเร็วและเป็นระบบอย่างยิ่งของทีมวิศวกรและคนงานญี่ปุ่น
สิ่งที่น่าทึ่งคือ ภายในเวลาเพียง 48 ชั่วโมง หลุมขนาดมหึมานั้นถูกถมเกือบเต็ม หลังจากนั้นอีก 5 วัน คือในวันที่ 15 พ.ย. ถนนสายดังกล่าวก็กลับมาเปิดให้สัญจรได้ตามปกติ-ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น!
หัวใจสำคัญของความสำเร็จในภารกิจนี้ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีที่ล้ำยุคเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการผสมผสานระหว่าง การวางแผนที่ยอดเยี่ยม, การทำงานแบบบูรณาการ และวัสดุที่เหมาะสม
การทำงานตลอด 24 ชั่วโมง : ทีมงานหลายร้อยคนทำงานสลับกะกันอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดพัก เพื่อให้การซ่อมแซมดำเนินไปอย่างรวดเร็วที่สุด
การบูรณาการซ่อมสาธารณูปโภค: ขณะที่ทีมหนึ่งกำลังถมหลุม อีกทีมหนึ่งก็เร่งซ่อมแซมท่อระบายน้ำ ท่อแก๊ส สายไฟฟ้า และสายสื่อสารที่เสียหายไปพร้อม ๆ กัน เป็นการทำงานคู่ขนานที่ลดระยะเวลาโดยรวมได้อย่างมหาศาล
การใช้วัสดุที่เรียกว่า "ดินผสมซีเมนต์" (Cement-Treated Soil) : แทนที่จะใช้ดินหรือทรายถมทีละชั้นแล้วบดอัด ซึ่งใช้เวลานาน วิศวกรญี่ปุ่นเลือกใช้ส่วนผสมพิเศษของดิน ทราย ซีเมนต์ และน้ำจำนวนกว่า 6,200 ลูกบาศก์เมตร วัสดุนี้มีลักษณะคล้ายดินเหลว สามารถไหลเข้าไปเติมเต็มโพรงได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง เมื่อแข็งตัวจะมีความแข็งแรงสูงและมั่นคงกว่าดินเดิมหลายเท่า ดังที่นายกเทศมนตรีเมืองฟูกูโอกะกล่าวว่า พื้นดินบริเวณนั้น แข็งแรงกว่าเดิมถึง 30 เท่า
การตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด : แม้จะทำงานแข่งกับเวลา แต่มาตรฐานความปลอดภัยไม่เคยถูกละเลย หลังจากถมหลุมและปูผิวถนนใหม่เสร็จสิ้น มีการตรวจสอบความแข็งแรงและความปลอดภัยอย่างละเอียดก่อนจะประกาศเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ
นี่ถือเป็นภาพสะท้อนวัฒนธรรมการทำงาน - ความพร้อมรับมือภัยพิบัติของญี่ปุ่น ซึ่งเคยแสดงให้เห็นมาแล้วหลังเหตุการณ์สึนามิในปี 2011 ที่สามารถซ่อมแซมถนนที่เสียหายหนักได้ในเวลาเพียง 6 วันมาแล้วเช่นกัน
นอกเหนือจากวิธีของญี่ปุ่น: เทคโนโลยีซ่อมถนนทรุดในปัจจุบัน
แม้ว่าวิธีการถมด้วยดินผสมซีเมนต์ของฟูกูโอกะจะประสบความสำเร็จอย่างงดงาม แต่ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่หลากหลายซึ่งสามารถใช้แก้ปัญหาถนนทรุดได้ โดยเฉพาะวิธีที่รบกวนผิวจราจรน้อยที่สุด (Minimally Invasive) ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้
เป็นกลุ่มวิธีที่ทันสมัยและได้รับความนิยมสูง เพราะไม่จำเป็นต้องขุดเปิดผิวถนนเป็นวงกว้าง เหมาะกับการซ่อมแซมเร่งด่วนในเขตเมือง
การอัดฉีดโพลียูรีเทนโฟม (Polyurethane Foam / Geopolymer Injection): เป็นเทคโนโลยีที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มนี้ หลักการคือการเจาะรูขนาดเล็ก (ประมาณ 1.5-2.0 ซม.) ผ่านผิวถนนลงไปยังโพรงใต้ดิน แล้วฉีดสารเคมีเหลว 2 ชนิดลงไป ซึ่งจะทำปฏิกิริยากัน ขยายตัวอย่างรวดเร็วเป็นโฟมความแข็งแรงสูง (Geopolymer)
ข้อดี: รวดเร็วมาก สามารถคืนพื้นที่จราจรได้ในไม่กี่ชั่วโมง, รบกวนน้อย ไม่ต้องขุด ไม่เกิดฝุ่น, น้ำหนักเบา ไม่เพิ่มภาระให้ชั้นดินเดิม และ กันน้ำ ได้ดี
ข้อจำกัด: มีค่าใช้จ่ายสูงและต้องใช้ทีมงานผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
เป็นเทคนิคทางวิศวกรรมปฐพีที่ใช้แก้ปัญหาในระยะยาว สำหรับกรณีที่ดินฐานรากอ่อนแออย่างรุนแรง
เสาเข็มดินซีเมนต์ (Deep Soil Mixing - DSM): ใช้เครื่องมือลักษณะคล้ายสว่านขนาดใหญ่เจาะลงไปในดิน พร้อมกับฉีดซีเมนต์เหลวผสมคลุกเคล้ากับดินเดิมโดยตรง ทำให้ดินกลายสภาพเป็น "เสาเข็มดินซีเมนต์" ที่แข็งแรงเพื่อค้ำยันโครงสร้างถนน
ข้อดี: แก้ปัญหาที่ต้นเหตุโดยตรงและเสริมความแข็งแรงได้อย่างถาวร
ข้อจำกัด: เป็นโครงการขนาดใหญ่ ใช้เครื่องจักรหนักและใช้เวลานาน
การฉีดซีเมนต์ด้วยแรงดันสูง (Jet Grouting): เป็นเทคนิคขั้นสูงที่ใช้ "แรงดันน้ำ" หรือ "ลม" ที่สูงมากฉีดตัดมวลดินใต้พื้นโลกให้กระจายตัว ก่อนจะฉีดซีเมนต์เข้าไปผสม ก่อเกิดเป็นแท่งดินซีเมนต์ขนาดใหญ่และแข็งแรง
ข้อดี: มีประสิทธิภาพสูงในดินหลากหลายประเภทและสามารถควบคุมรูปทรงได้ดี
ข้อจำกัด: ต้องใช้เครื่องมือและผู้เชี่ยวชาญขั้นสูง และต้องมีการจัดการดินที่ล้นขึ้นมาบนผิวหน้า
กรณีศึกษาของฟูกูโอกะได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของมนุษย์ในการเอาชนะวิกฤตด้วยการวางแผน การทำงานหนัก และความร่วมมือร่วมใจ ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีวิศวกรรมที่ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งก็ได้มอบเครื่องมือใหม่ ๆ ให้เราสามารถรับมือกับปัญหาโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับทุกมหานครทั่วโลกที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในลักษณะเดียวกัน
ที่มา : bbc theguardian
ข่าวที่เกี่ยวข้อง