svasdssvasds

ถนนสามเสนยุบ เพราะน้ำใต้ดิน? รฟม. ยันซ่อมเสร็จใน 14 วัน

ถนนสามเสนยุบ เพราะน้ำใต้ดิน? รฟม. ยันซ่อมเสร็จใน 14 วัน

สรุปเหตุการณ์ถนนสามเสนทรุดตัวเป็นหลุมยักษ์ รฟม.เร่งเยียวยา ด้าน อ.อมร ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมชี้ "ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย" เพราะรู้ล่วงหน้า

SHORT CUT

  • ถนนสามเสนทรุดตัวเป็นหลุมลึก 20 เมตร บริเวณพื้นที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้
  • รฟม.ชี้สาเหตุจากน้ำใต้ดินทำดินเหลวและท่อประปาแตก ดินจึงทะลักเข้าอุโมงค์
  • เร่งกู้ผิวจราจรใน 14 วัน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ "ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย" เพราะคาดการณ์ได้

สรุปเหตุการณ์ถนนสามเสนทรุดตัวเป็นหลุมยักษ์ รฟม.เร่งเยียวยา ด้าน อ.อมร ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมชี้ "ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย" เพราะรู้ล่วงหน้า

น้ำใต้ดินเป็นเหตุ? ถนนสามเสนยุบ รฟม.เร่งถมคืนผิวจราจรภายใน 14 วัน ย้ำชัดทำงานตามมาตรฐานวิศวกรรม ด้าน อ.อมร มอง “ไม่มีเหตุสุดวิสัย” สำหรับเรื่องที่รู้ล่วงหน้าได้

 

เหตุการณ์ถนนสามเสนทรุดตัวครั้งใหญ่เกิดขึ้นในเช้าวันที่ 24 กันยายน 2568 บริเวณพื้นที่ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ บริเวณหน้า สน.สามเสน ส่งผลให้มีดินและน้ำปริมาณมหาศาลไหลทะลักเข้าไปในโครงสร้างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน สร้างความเสียหายรุนแรงต่ออาคารสถานีตำรวจข้าง การอยู่อาศัยของประชาชน และการสัญจรในพื้นที่

 

วินาทีแห่งหายนะ: จากสัญญาณเตือนสู่หลุมยุบขนาดยักษ์

ตัวแทนของ รฟม. ชี้แจงเหตุการณ์ทั้งหมด ระบุว่า ความผิดปกติเริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 05:00 น. วันที่ 24 ก.ย. ประชาชนในพื้นที่เริ่มสังเกตเห็นผิวถนนที่ดูไม่เรียบเหมือนเดิม ระดับของผิวจราจรเริ่มแตกต่างกันอย่างชัดเจน เป็นสัญญาณเตือนที่หลายคนยังไม่เข้าใจว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ประมาณ 05:30 น. สถานการณ์เริ่มชัดเจนขึ้น น้ำเริ่มเอ่อขึ้นมาบนผิวถนน ทำให้ช่องจราจรถูกบีบให้เหลือเพียงช่องทางเดียว เจ้าหน้าที่รีบประสานงานไปยังการประปานครหลวง เพราะเกรงว่าอาจเป็นการรั่วไหลของท่อประปาใต้ดิน

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมานั้นรุนแรงกว่าที่ใครคาดคิด ในช่วงเวลาระหว่าง 07:00-07:30 น. สถานการณ์พลิกผันอย่างน่าตกใจ พื้นผิวถนนพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ เผยให้เห็นหลุมขนาดยักษ์ลึกราว 20 เมตร มวลดินและน้ำปริมาณมหาศาลไหลทะลักเข้าไปในโครงสร้างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีวชิรพยาบาลที่กำลังก่อสร้าง จนสะสมอยู่ในอุโมงค์ยาวประมาณ 50 เมตร

น้ำใต้ดินเป็นเหตุ? ทำดินเสียเสถียรภาพ ไหลเข้าช่องว่างสถานีรถไฟฟ้า

การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดจากปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ซับซ้อนใต้ผืนดิน โดยเริ่มต้นจากน้ำใต้ดินที่เข้าแทรกในชั้นดิน ทำให้มวลดินสูญเสียการยึดเกาะและกลายเป็น "ของเหลวหนืด" หรือที่เรียกในทางวิศวกรรมว่า Liquefaction ซึ่งไม่สามารถรับน้ำหนักของชั้นถนนและแรงดันโดยรอบได้อีกต่อไป

 

เมื่อดินเริ่มอ่อนตัวและเกิดการทรุดตัวเล็กน้อย สิ่งที่ตามมาคือความเสียหายต่อท่อประปาประธานและท่อน้ำเสียที่ฝังอยู่ใต้ดิน ลึกจากผิวประมาณ 3 เมตร ท่อประปาที่เสียหายได้ปล่อยน้ำปริมาณมหาศาลภายใต้แรงดันสูงออกมา ยิ่งเร่งให้สภาพดินแปรเปลี่ยนเป็นของเหลวหนืดอย่างรวดเร็วและรุนแรงยิ่งขึ้น

 

สุดท้าย มวลดินและน้ำที่กลายเป็นของเหลวภายใต้แรงดันมหาศาล ได้ไหลทะลักเข้าไปในพื้นที่ว่างที่ใกล้ที่สุด คือโครงสร้างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ เมื่อมวลดินที่รองรับถนนหายไปทั้งหมด เกิดการพังทลายเป็นหลุมขนาดใหญ่

แผนฟื้นฟู: 2 สัปดาห์คืนถนน การซ่อมแซมถาวรรอวิเคราะห์

รฟม.และกิจการร่วมค้าผู้รับจ้างได้วางแผนการแก้ไขปัญหาออกเป็น 2 ระยะ โดยระยะแรกมุ่งเน้นการแก้ไขเร่งด่วนภายใน 2 สัปดาห์ เริ่มจากการใช้กระสอบทรายและซีเมนต์ผสมเพื่ออุดรอยรั่วและหยุดการไหลของดินและน้ำตามด้วยการถมดิน ทราย หรือลูกรังกลับเข้าไปในช่องว่างเพื่อสร้างเสถียรภาพ

 

การเสริมความแข็งแรงของอาคารข้างเคียงเป็นสิ่งที่ต้องทำทันทีเพื่อความปลอดภัย ก่อนที่จะสร้างผิวถนนชั่วคราวเพื่อเปิดการจราจรให้กลับมาใช้งานได้โดยเร็ว 

 

ส่วนระยะที่สองจะเป็นการซ่อมแซมถาวร ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบและประเมินความเสียหายของโครงสร้างอุโมงค์และสถานีอย่างละเอียด การซ่อมแซมโครงสร้างที่เสียหายให้กลับมาแข็งแรงตามมาตรฐาน รวมไปถึงการซ่อมแซมสถานีตำรวจและอาคารข้างเคียงที่ได้รับผลกระทบ

 

คำขออภัยและการรับผิดชอบ

ตัวแทนของรฟม.และกิจการร่วมค้าได้ออกมากล่าวขออภัยต่อประชาชนทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ พร้อมยืนยันว่าจะรับผิดชอบความเสียหายอย่างเต็มที่ และเร่งดำเนินการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทุกราย นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมได้สั่งให้มีการตรวจสอบและทบทวนกระบวนการก่อสร้างในพื้นที่โครงการอื่นๆ อย่างละเอียด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์คล้ายคลึงขึ้นอีก

 

ผู้เชี่ยวชาญลั่น ถ้ารู้ล่วงหน้า "ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย"

ศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรรมโครงสร้างแห่งประเทศไทย วิพากษ์วิจารณ์การเรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็น "เหตุสุดวิสัย" โดยชี้ว่าการที่พื้นที่นี้เป็นดินอ่อนและมีน้ำใต้ดินจำนวนมากเป็นสิ่งที่ทราบกันดีล่วงหน้า "สิ่งที่รู้ล่วงหน้าไม่ใช่เหตุสุดวิสัย แต่เป็นสิ่งที่สามารถจัดการได้ด้วยเทคนิคทางวิศวกรรม" ดร.อมรกล่าว

 

อ.อมร เสนอแนะให้มีการยกระดับมาตรฐานการก่อสร้างในชั้นดินอ่อนทั้งหมด พร้อมติดตั้งระบบแจ้งเตือนภัยแบบเรียลไทม์ที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนที่ของดินได้ เพื่อแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง

 

อย่างไรก็ตาม ดร.อมรยังคงมีข้อกังวลต่อแผนการถมดินเพื่อเปิดการจราจรภายใน 14 วัน โดยตั้งคำถามว่า "หากถมดินลงไปแล้วไปคลุมอุโมงค์ที่แตกเสียหาย จะสามารถซ่อมอุโมงค์ได้อย่างไร?" ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังต้องรอคำตอบจากผู้รับผิดชอบโครงการ

 

เหตุการณ์ถนนทรุดตัวครั้งนี้กลายเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับการพัฒนาโครงสร้างใต้ดินในพื้นที่ดินอ่อน โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครที่มีลักษณะภูมิศาสตร์คล้ายคลึงกัน ประเด็นที่สังคมต้องติดตามต่อไปคือ ความคืบหน้าการถมดินและเปิดการจราจรตามที่สัญญาไว้ ผลการตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริงจากคณะผู้เชี่ยวชาญ แผนการซ่อมแซมโครงสร้างใต้ดินอย่างถาวร มาตรการป้องกันเหตุการณ์คล้ายคลึงในโครงการอื่น และที่สำคัญคือการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบให้เป็นธรรมและรวดเร็ว

related