เปิดรายได้ ‘ธุรกิจรพ.เอกชนไทย’ สุดปังรายได้ 3.22 แสนล้าน/ปี

ชีวิตคนเราทุกวันนี้ใครไม่มีโรคนับได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต แต่…สำหรับใครที่3วันดี 4 วันไข้ แล้วก็ทำงานหาเงินมาหามดหาหมอจนหมดเนื้อหมดตัว จะไปโรงพยาบาลรัฐก็ติดปัญหาคนไข้ล้นโรงพยาบาล จะไปโรงพยาบาลเอกชนก็กลัวค่าใช้จ่ายจะสูง อย่างที่เห็นข่าวตามโซเชียลมีเดียที่มีการออกมารีวิวถึงบางโรงพยาบาลที่ค่ารักษาพยาบาลสูงมาก จึงทำให้คนไทยมีทางเลือกในการรักษาพยาบาลไม่มากนัก คนที่มีเงินหน่อยก็เลือกได้

ส่วนใครที่รายได้น้อยก็ต้องรักษาแบบตามมีตามเกิด โดยปัจจุบันบ้านเราก็มีคนไข้ปริมาณที่มากต่อวัน จึงไม่แปลกที่จะทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนเติบโตขึ้นทุกปี โดย ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics เคยออกมาประเมินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนปี 2567 สร้างรายได้ 3.22 แสนล้านบาท แต่ก็ยังอยู่บนความท้าทายที่เริ่มเผชิญกับข้อจำกัดจากแนวโน้มประชากรที่ลดลง และแนวคิดในการใช้บริการที่เปลี่ยนแปลงไปจากการรักษาขยับขึ้นเป็นการป้องกัน เพื่อลดความเสี่ยงในการเข้ารับบริการในโรงพยาบาล ส่งผลให้รูปแบบการดำเนินธุรกิจของโรงพยาบาลเอกชนต่างไปจากเดิม

ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา จากโครงสร้างประชากร และอัตราการเจ็บป่วยที่เพิ่มขึ้น รวมถึงข้อบังคับทางกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องขึ้นทะเบียนลูกจ้างเป็นผู้ประกันตนส่งผลให้โรงพยาบาลมีรายได้เพิ่มจากระบบประกันสังคมโดยผู้ประกันตนที่มีสิทธิในการรักษาพยาบาลสูงถึง 13.7 ล้านคน รวมถึงสวัสดิการประกันกลุ่มที่บริษัทเอกชนมอบให้แก่พนักงานจำนวนกว่า 2.6 ล้านกรมธรรม์นอกจากในมิติของจำนวนอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

ธุรกิจโรงพยาบาลนับได้ว่าเป็นกลุ่มธุรกิจบริการที่ไม่อ่อนไหวต่อราคาและรายได้ จากการที่เป็นธุรกิจบริการที่จ าเป็นและทดแทนไม่ได้ในมิติของคุณภาพและระยะเวลาการเข้ารักษา ส่งผลให้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนมีอำนาจในการส่งผ่านราคา ค่าบริการได้ง่าย เป็นผลให้ค่าบริการของโรงพยาบาลเอกชนมีทิศทางปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้มูลค่าตลาดของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนสามารถขยายได้ต่อเนื่อง โดย ttb analytics ประเมินปี 2567 ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนมีรายได้รวมสูงแตะ 3.22 แสนล้านบาท ขยายตัว 4% จากปี 2566 ที่มีรายได้รวม 3.14 แสนล้านบาท

เพื่อให้ประชาชนได้เข้าการรักษา และ ซื้อยา เวชภัณฑ์ ของโรงพยาบาลเอกชนได้มากขึ้น นางศุภจี สุธรรมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ทำข้อตกลงร่วมกับโรงพยาบาลเอกชน เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและทางเลือกให้ประชาชน

โดยมี 2 มาตรการหลัก ดังนี้

• เพิ่มทางเลือกให้ประชาชน

ให้ประชาชนสามารถตรวจสอบราคายาก่อนชำระเงิน อีกทั้งสามารถเลือกซื้อยาจากร้านขายยาภายนอกโรงพยาบาลได้ โดยคาดว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 34,200 ล้านบาทต่อปี

• เร่งควบคุมราคาเวชภัณฑ์ที่จำเป็น

ทั้งนี้จะมีการกำหนดมาตรการควบคุมต้นทุน และราคาเวชภัณฑ์ที่จำเป็นไม่ให้สูงเกินสมควร คาดว่าจะช่วยลดค่าครองชีพได้อีกราว 1,100 ล้านบาทต่อปี

ปัจจุบันเรื่องสุขภาพมีค่าใช้จ่ายมูลค่าสูงขึ้น และประชาชนก็อาจจะมีทางเลือกน้อยลงเราจะมุ่งเน้นช่วยในเรื่องของความเดือดร้อน ทั้งในเรื่องของความแออัดของโรงพยาบาลภาครัฐ เนื่องจากประชาชนมีรายได้น้อย ต้องการจะลดค่าใช้จ่ายก็ต้องไปที่โรงพยาบาลรัฐ จึงทำให้กระทรวงได้ทำข้อตกลงกับโรงพยาบาลเอกชน เรื่องเพิ่มทางเลือกให้ประชาชน รับรู้ค่าใช้จ่ายราคายาก่อนชำระเงิน และไม่จำเป็นจะต้องยอมรับในค่าใช้จ่ายนั้นทันที

โดยประชาชนสามารถไปซื้อที่ร้านค้าข้างนอกโรงพยาบาลเอกชนได้ ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนที่เข้ามาร่วมโครงการอยู่พอสมควร หากดำเนินโครงการดังกล่าวสำเร็จจะสามารถลดค่ายาของประชาชนได้ถึง 400 ล้านบาทต่อปี ในของเวชภัณฑ์จำเป็นต่อไปต้องมีในการควบคุมต้นทุน ควบคุมราคา ซึ่งจะสามารถช่วยลดค่าครองชีพในหมวดของเวชภัณฑ์จำเป็นถึง 1,100 ล้าน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

• “น้ำรั่วซึม” สาเหตุหลุมยุบขนาดใหญ่ หน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล

• โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ เดินหน้าขยายศักยภาพการรักษากลุ่มผู้ป่วยวิกฤตเฉพาะทาง

• เปิดช่องทางเปลี่ยนโรงพยาบาล "บัตรทอง 30 บาท" 1 ปี ย้ายได้ 4 ครั้ง ใช้อะไรบ้าง