svasdssvasds

มันซา มูซา ราชาผู้ทำให้ราคาทองถูก โดยการแจกทองระหว่างเดินทาง

มันซา มูซา ราชาผู้ทำให้ราคาทองถูก โดยการแจกทองระหว่างเดินทาง

มันซา มูซา ราชาผู้ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ ศตวรรษที่ 14 ควบคุมทองคำครึ่งโลก เดินทางฮัจญ์ปี 1324 พร้อมทอง ทำให้ทองคำถูก ลดค่าลง และเกิดเงินเฟ้อในไคโรนานนับทศวรรษ

SHORT CUT

  • ราคาทองคำทั่วโลกกำลังสร้างสถิติสูงสุดในปี 2025 โดยพุ่งทะยานสู่ระดับ $3,848 ต่อทรอยออนซ์ และนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอาจแตะระดับ $4,000
  • แต่มีบุคคลหนึ่งในประวัติศาสตร์ ชื่อว่ากษัตริย์มันซู มูซา เคยทำให้ตลาดพังทลายในอดีตเพราะ "ทองคำมีมากเกินไป" จนเกิดภาวะลดค่าเงินทองคำ
  • สถานการณ์ "ทองแพง" ในปี 2025 และวิกฤตของมูซาในปี 1324 เป็นขั้วตรงข้ามกัน วิกฤตของมูซาเกิดจาก อุปทานทองคำล้นตลาด จนทำลายมูลค่า ในขณะที่วิกฤตโลกปัจจุบันเกิดจาก อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เพราะผู้คนกลัวว่าจะมีเงินกระดาษท่วมระบบ

มันซา มูซา ราชาผู้ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ ศตวรรษที่ 14 ควบคุมทองคำครึ่งโลก เดินทางฮัจญ์ปี 1324 พร้อมทอง ทำให้ทองคำถูก ลดค่าลง และเกิดเงินเฟ้อในไคโรนานนับทศวรรษ

สังเกตไหมว่าช่วงนี้กระแส "ทองแพง" แรงแซงทุกข่าว? ราคาทองคำทั่วโลกกำลังสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2025 โดยราคาพุ่งทะยานสู่ระดับ $3,848 ต่อทรอยออนซ์ และนักวิเคราะห์หลายรายคาดการณ์ว่าอาจแตะระดับ $4,000 ภายในสิ้นปี สถานการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ครั้งสุดท้ายที่ทองคำพุ่งสูงขนาดนี้คือในปี 1979 ซึ่งเป็นช่วงที่มีวิกฤตการณ์ทางการเมืองและราคาน้ำมันโลก

มันซา มูซา ราชาผู้ทำให้ราคาทองถูก โดยการแจกทองระหว่างเดินทาง

ขณะที่ในประเทศไทยเองสถานการณ์ทองคำทะลุ 60,000 บาท ต่อน้ำหนักทอง 1 บาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ในทางเศรษฐศาสตร์มหภาค การที่ทองคำแพงสะท้อนถึงความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อเสถียรภาพของระบบการเงินโลก นักลงทุนแสวงหาทองคำในฐานะ "สินทรัพย์ปลอดภัย" (Safe Haven) เพราะความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์, ความตึงเครียดทางการค้า, ปัญหาหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวลในประเทศพัฒนาแล้ว, และความเชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนแอลง

มันซา มูซา ราชาผู้ทำให้ราคาทองถูก โดยการแจกทองระหว่างเดินทาง

การปรับขึ้นของราคาทองคำในปีนี้จึงไม่ใช่แค่การขึ้นลงตามวัฏจักรตลาด แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สะท้อนว่า เรากำลังอยู่ในยุคที่ผู้คนเริ่มไม่ไว้ใจ "เงินกระดาษ" และสัญญาทางการเงินที่รัฐบาลรับรองอีกต่อไป

ความย้อนแย้งของราชาแห่งความมั่งคั่ง

ในขณะที่ทุกคนกำลังวิ่งหาทองคำ เพราะมันหายากและเชื่อถือได้ แต่ในประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปเกือบ 700 ปี มีบุคคลคนหนึ่งที่ทองคำของเขามีมากเกินไปเสียจนกลายเป็น “พิษ” และสร้างความหายนะทางเศรษฐกิจในอาณาจักรอื่นอย่างไม่ตั้งใจ

มันซา มูซา ราชาผู้ทำให้ราคาทองถูก โดยการแจกทองระหว่างเดินทาง

ชายคนนั้นคือ มันซk มูซา (Mansa Musa) ผู้ปกครองจักรวรรดิมาลีในแอฟริกาตะวันตกในศตวรรษที่ 14 เขาได้รับการขนานนามว่าเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ความร่ำรวยของเขาไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขในบัญชี แต่เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ในรูปแบบของ

อาณาจักรที่สร้างจากแร่ทองคำและเกลือ

ก่อนที่มันซา มูซา จะขึ้นครองราชย์ในปี 1312 จักรวรรดิมาลีก็เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว แต่ภายใต้การนำของพระองค์ อาณาจักรนี้กลายเป็นหนึ่งในจักรวรรดิที่มั่งคั่งและทรงอิทธิพลที่สุดในโลกยุคโบราณ

ความมั่งคั่งนี้ไม่ได้มาจากการพนันหรือการลงทุนในตลาดหุ้น แต่มาจากอำนาจผูกขาดเหนือทรัพยากรหลักสองอย่างคือทองคำและเกลือ 

มาลีตั้งอยู่บนแหล่งเหมืองทองคำที่ร่ำรวยที่สุดในโลกยุคนั้น รวมถึงทุ่งทองคำ Bambuk และ Bure มีการประเมินว่า จักรวรรดิมาลีควบคุมทองคำคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของอุปทานทองคำทั้งหมดในโลกยุคเก่า

ในขณะที่ทองคำเป็นสกุลเงินสากลที่บ่งบอกถึงอำนาจและศักดิ์ศรี เกลือกลับมีมูลค่าเท่าเทียมกันในแอฟริกาตะวันตก เพราะเกลือจำเป็นสำหรับการถนอมอาหารและป้องกันภาวะขาดน้ำในสภาพอากาศร้อน

พ่อค้าชาวอาหรับและชาวเบอร์เบอร์จากแอฟริกาเหนือจะนำเกลือจำนวนมหาศาลข้ามทะเลทรายซาฮารามาแลกเปลี่ยนกับทองคำของมาลี ทำให้เมืองต่างๆ เช่น ทิมบักตู (Timbuktu) และกาโอ (Gao) กลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่คึกคักเชื่อมโยงแอฟริกาเข้ากับโลกอิสลาม

มันซา มูซา ราชาผู้ทำให้ราคาทองถูก โดยการแจกทองระหว่างเดินทาง

ด้วยการควบคุมเส้นทางการค้าที่สำคัญเหล่านี้ และการจัดเก็บภาษีจากการค้าและจากการพิชิตเมืองใหม่ๆ มันซา มูซาจึงสามารถสะสมความมั่งคั่งได้มหาศาล 

ความร่ำรวยของพระองค์มีมากจนนักประวัติศาสตร์ประเมินว่าหากเทียบเป็นมูลค่าปัจจุบัน อาจสูงถึง $400-$500 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเกินกว่าความมั่งคั่งของเศรษฐีพันล้านยุคใหม่อย่างอีลอน มัสก์ หรือเจฟฟ์ เบซอส

พิธีฮัจญ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ กับการแสดงแสนยานุภาพทางเศรษฐกิจ

ในปี 1324 มันซู มูซาตัดสินใจเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์หรือการแสวงบุญทางศาสนาที่นครเมกกะ การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการทำตามหลักศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นการ "โฆษณาความมั่งคั่งและอำนาจ" ของจักรวรรดิมาลีสู่สายตาชาวโลก

นี่คือ "การแสดงแสนยานุภาพ" หรือที่ภาษาปัจจุบันเรียกว่า “Ultimate Flex” ที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน คณะเดินทางของพระองค์มีขนาดใหญ่โตมโหฬารจนน่าเหลือเชื่อ

ทั้งการเดินทางยาวนานกว่า 4,000 ไมล์ ข้ามทะเลทรายซาฮารา คณะผู้ติดตามประกอบด้วยข้าราชบริพาร 8,000 คน และทาสอีก 12,000 คนและที่สำคัญที่สุดคือ ทองคำบริสุทธิ์ 100 ลำอูฐ

กัส เคสลีย์-เฮย์ฟอร์ด (Gus Casely-Hayford) ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ศิลปะแอฟริกาแห่งสถาบันสมิธโซเนียน บรรยายภาพของกองคาราวานนี้ว่า “ทุกคืนที่พวกเขาหยุดพัก มันเหมือนกับการตั้งเมืองขนาดย่อมขึ้นกลางทะเลทราย” พวกเขานำทุกสิ่งที่จำเป็นไปด้วย รวมถึง “มัสยิดเคลื่อนที่” ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้จักรพรรดิได้ละหมาด 

การขนย้ายทองคำและผู้คนจำนวนมหาศาลผ่านจุดยุทธศาสตร์ทางการค้าอย่างกรุงไคโรนี้ เป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่า จักรวรรดิมาลีคือผู้เล่นทางเศรษฐกิจรายใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

การเดินทางครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มันซา มูซา ไม่ได้มองทองคำเป็นเพียงสินทรัพย์ที่สะสมไว้เฉยๆ แต่เป็น เครื่องมือทางการทูตและอำนาจอ่อน (Soft Power) โดยการเคลื่อนย้ายทองคำปริมาณมหาศาลผ่านเมืองสำคัญอย่างไคโร 

พระองค์กำลังบังคับให้อาณาจักรมัมลุกแห่งอียิปต์ต้องรับรู้และยอมรับมาลีในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจระดับโลก ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ลุ่มลึกกว่าแค่การแสดงความศรัทธาทางศาสนา

บทเรียนเศรษฐศาสตร์ฉบับไคโรเมื่อทองกลายเป็นพิษ

เมื่อมันซา มูซา เดินทางถึงกรุงไคโร เมืองหลวงของรัฐสุลต่านมัมลุกในอียิปต์ พระองค์ทรงแสดงความใจกว้างอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน อัล-อุมารี (Shihab al-'Umari) นักประวัติศาสตร์อาหรับจากดามัสกัส ซึ่งได้บันทึกเหตุการณ์นี้โดยอ้างอิงจากการสัมภาษณ์ชาวไคโรที่อยู่ในเหตุการณ์ ได้กล่าวถึงมูซาว่า “ชายคนนี้ได้ทำให้ไคโรท่วมท้นไปด้วยการบริจาคของเขา”

การแจกทองคำนั้นเกิดขึ้นอย่างไม่เลือกหน้า อัล-อุมารีระบุว่า มูซา "ไม่ปล่อยให้อาเมียร์ในราชสำนักหรือผู้ดำรงตำแหน่งราชการคนใดเลยที่ไม่ได้ของขวัญเป็นทองคำหนึ่งบรรทุก"

มันซา มูซา ราชาผู้ทำให้ราคาทองถูก โดยการแจกทองระหว่างเดินทาง

มูซาแจกทองคำรวมกันประมาณ 20,000 ออนซ์ (หรือ 1,250 ปอนด์) ในเมืองสำคัญๆ อย่างไคโร เมกกะ และเมดินา

ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่ตามมาเป็นไปอย่างน่าทึ่ง แต่ในแง่ลบ อัล-อุมารีรายงานว่า มูซาและผู้ติดตามของเขา "ใช้จ่ายทองคำจนกระทั่งมันไปกดมูลค่าของทองคำในอียิปต์และทำให้ราคาของมันตกต่ำลง"

กลไกการลดค่าเงินตามทฤษฎีปริมาณเงิน

ในยุคศตวรรษที่ 14 ทองคำไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์ แต่เป็น “เงินตรา” หลักที่ใช้ในการหมุนเวียนและแลกเปลี่ยน (เช่น เหรียญ mithqal) เมื่อมันซู มูซา ฉีดทองคำบริสุทธิ์จำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของไคโรในทันทีทันใด มันจึงเปรียบเสมือนการ เพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียน (Money Supply) ในระบบอย่างรวดเร็วเกินกว่าการเติบโตของผลผลิต

ตามทฤษฎีปริมาณเงินของมิลตัน ฟรีดแมน (Milton Friedman) ที่กล่าวว่า "ภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้นเสมอและทุกที่อันเนื่องมาจากปรากฏการณ์ทางการเงิน" 

การเพิ่มอุปทานเงินทองคำอย่างกะทันหันทำให้ทองคำซึ่งเป็นสกุลเงินหลักถูกลดค่าลงทันที หรือกล่าวได้ง่ายๆ ว่า เมื่อของที่หายากที่สุดในโลกอย่างทองคำกลับกลายเป็นของที่หาง่ายและมีปริมาณมากในตลาดท้องถิ่น มูลค่าของมันในแง่ของอำนาจซื้อจึงตกลง

ข้อมูลของอัล-อุมารีระบุอย่างชัดเจนว่า ก่อนคณะคาราวานจะมาถึง ราคาทองคำในอียิปต์อยู่ในระดับสูง โดยเหรียญ mithqal (ทองคำ) มักจะมีมูลค่าสูงกว่า 25 dirhams (เงิน) แต่หลังจากนั้น มูลค่าก็ตกลงทันทีและคงราคาต่ำเช่นนั้น โดย mithqal มีค่าไม่เกิน 22 dirhams หรือน้อยกว่า

ผลกระทบนี้ทำให้ราคาทองคำถูกลงและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ในไคโรมีราคาสูงขึ้น (เกิดภาวะเงินเฟ้อ) และตามรายงานของอัล-อุมารี ผลกระทบนี้กินเวลานานถึง "ประมาณสิบสองปี" ส่งผลให้อียิปต์เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยยาวนาน

การพยายามแก้ไขและการวิเคราะห์ที่ลุ่มลึก

เมื่อมันซา มูซา เดินทางกลับจากเมกกะและรับทราบถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแจกทองคำของพระองค์ พระองค์ได้พยายาม "แก้ไข" ปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นด้วยวิธีการที่น่าทึ่งและย้อนแย้ง พระองค์พยายาม ซื้อทองคำคืน จากผู้ปล่อยกู้ในไคโรให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

การกระทำนี้ช่วยบรรเทาภาวะเงินเฟ้อชั่วคราว แต่ผู้ปล่อยกู้ในไคโรฉวยโอกาสเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูงลิ่วและเมื่อมูซาเดินทางกลับมาลีและจ่ายหนี้ทั้งหมดคืนในคราวเดียว การฉีดทองคำกลับเข้าสู่ตลาดไคโรอีกครั้ง ก็ทำให้ราคาทองคำตกลงอย่างรุนแรงอีกรอบ เป็นการตอกย้ำถึงความเปราะบางของระบบการเงินที่พึ่งพาสินทรัพย์หลักเพียงอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ได้รับจากอัล-อุมารี แม้จะเป็นแหล่งข้อมูลหลัก แต่ก็ต้องนำมาพิจารณาอย่างละเอียดด้วยมุมมองทางวิชาการ นักวิชาการบางส่วนชี้ให้เห็นว่า อัล-อุมารีไม่ได้อยู่ในอียิปต์ขณะเกิดเหตุการณ์และเขียนบันทึกนี้ขึ้น 13 ปีให้หลัง

การที่เขาระบุว่าอัตราส่วนราคาทองคำต่อเงินตกลงจาก 25:1 เป็น 22:1 นั้น มีข้อมูลจากแหล่งอื่นในยุคเดียวกันที่ชี้ว่าอัตราส่วนดังกล่าวมีความผันผวนอยู่แล้วก่อนการมาถึงของมูซา

ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ อคติของแหล่งข้อมูล (Source Bias) อัล-อุมารีเป็นข้าราชการที่รับใช้สุลต่านมัมลุก การบรรยายถึงมันซา มูซาในฐานะกษัตริย์ที่มั่งคั่งมหาศาลจนทองคำทำตลาดพังได้นั้น มีส่วนช่วยเสริมภาพลักษณ์และความยิ่งใหญ่ของสุลต่านมัมลุก (อัน-นาศิร มูฮัมหมัด) ในฐานะผู้ที่ได้รับเกียรติจากกษัตริย์ผู้ร่ำรวยขนาดนี้

มันซา มูซา ราชาผู้ทำให้ราคาทองถูก โดยการแจกทองระหว่างเดินทาง

ดังนั้น แม้การแจกทองจะทำให้เกิดภาวะช็อกด้านอุปทานและมูลค่าลดลงจริงในไคโร การกล่าวอ้างว่า "ทำลายเศรษฐกิจอียิปต์ไปเป็นทศวรรษ" จึงน่าจะเป็นการ"ขยายความเกินจริง" ที่ได้รับอิทธิพลจากเจตนาทางการเมืองและจินตนาการถึงความมั่งคั่งของแอฟริกา 16

การเปรียบเทียบระหว่างวิกฤตความมั่งคั่งที่ท่วมท้นในศตวรรษที่ 14 กับวิกฤตความเชื่อมั่นในปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงบทเรียนทางการเงินที่ย้อนแย้งอย่างชัดเจน

ทองแพง 2025 วิกฤตจากความกลัวที่ตรงกันข้าม

ในขณะที่มันซา มูซา เผชิญกับปัญหาที่ว่า "ทองคำมีมากเกินไป" ตลาดโลกในปี 2025 กำลังเผชิญหน้ากับความต้องการทองคำที่ "พุ่งสูงเกินไป" การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในปีนี้มีความรวดเร็วและเป็นวงกว้างกว่าการขึ้นในช่วงวิกฤตครั้งก่อนๆ เช่น ปี 2011 หรือ 2020 ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและแรงหนุนพื้นฐานที่แข็งแกร่ง

ปัจจัยมากมายที่ทำให้ราคาทองขึ้นไม่ว่าจะเป็น นโยบายการเงินของสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์

ทองคำมักมีความสัมพันธ์ผกผันกับดอลลาร์สหรัฐ (USD) 18 เมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลง ทองคำจะดูถูกลงสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่น ทำให้ความต้องการทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันตลาดการเงินตั้งความหวังอย่างมากต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) โดยมีการคาดการณ์โอกาสในการลดดอกเบี้ย 25 bps ในเดือนตุลาคม 2025 อยู่ที่ 93%

อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาส (opportunity cost) ในการถือครองทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทน (non-yielding asset) ทำให้ทองคำเป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้น 3

การซื้อทองคำของธนาคารกลางและการกระจายความเสี่ยง นี่คือปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สำคัญที่สุด ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ กำลังเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 2 แนวโน้ม

“การลดการพึ่งพาดอลลาร์” (De-dollarization) และความต้องการสำรองทองคำของรัฐบาล (Sovereign Gold Reserves) ได้สร้างพื้นฐานราคา (price floor) ที่สูงขึ้นสำหรับทองคำ การซื้อทองคำของธนาคารกลางเช่นธนาคารประชาชนจีน ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ในระดับภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเสริมแรงหนุนโมเมนตัมขาขึ้นในระยะยาว

ความกังวลทางภูมิรัฐศาสตร์และหนี้สาธารณะ เพราะทองคำจะถูกมองว่าเป็นเกราะป้องกันเมื่อเกิดความไม่แน่นอนทางการเมือง ความตึงเครียดทางการค้า หรือความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ

นอกจากนี้ การที่ระดับหนี้สาธารณะในประเทศพัฒนาแล้วพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการลดค่าของสกุลเงินในอนาคต นักลงทุนจึงหันมาใช้ทองคำเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและการเสื่อมค่าของอำนาจซื้อ

ความย้อนแย้งระหว่างอุปทานกับอุปสงค์

สถานการณ์ "ทองแพง" ในปี 2025 เป็นขั้วตรงข้ามกับวิกฤตในไคโร ปี 1324 อย่างสิ้นเชิง

วิกฤตของมูซา (1324): เกิดจาก อุปทาน (Supply) ทองคำจริงที่ล้นตลาดอย่างกะทันหัน จนทำลายมูลค่าของสินทรัพย์

วิกฤตของโลก (2025): เกิดจาก อุปสงค์ (Demand) ที่เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เพราะผู้คนกลัวว่าจะมี "เงินกระดาษ" ในระบบมากเกินไป จนทำให้มูลค่าของเงินตราเหล่านั้นหมดลง

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองสถานการณ์ตอกย้ำหลักการเศรษฐศาสตร์อมตะที่ว่า การเปลี่ยนแปลงในปริมาณของสิ่งที่ใช้เป็นเงินตรา ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะในศตวรรษที่ 14 ที่ทองคำเป็นเงินหลัก หรือศตวรรษที่ 21 ที่ดอลลาร์เป็นเงินสำรองหลัก การควบคุมปริมาณเงินตราในระบบ (ไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือ Fiat Money) คือกลไกสำคัญในการฉายอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก

จะเห็นได้ว่าเรื่องราวของมันซา มูซา จึงไม่ใช่แค่นิทานเกี่ยวกับความร่ำรวย แต่เป็นบทเรียนทางเศรษฐศาสตร์ที่ทรงพลังซึ่งสะท้อนความจริงอันเป็นสากล แม้แต่ทองคำ ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นสุดยอดของทรัพย์สินสำรอง ก็ยังคงอ่อนไหวต่อกฎพื้นฐานของอุปสงค์และอุปทาน

มันซา มูซา แสดงให้เห็นว่า เมื่อนักแสดงผู้มีอำนาจเพียงคนเดียวสามารถเพิ่มปริมาณเงิน (ทองคำ) ในระบบได้อย่างรวดเร็วเพียงใด มูลค่าของมันก็จะถูกบั่นทอนลงโดยเจตนาดีของเขาเอง แต่สถานการณ์ "ทองแพง" ในปี 2025 แสดงให้เห็นว่า เมื่อความเชื่อมั่นโดยรวมต่อระบบการเงินโลกพังทลายลง ความต้องการทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่คงที่และจับต้องได้ก็จะพุ่งสูงขึ้นอย่างไร

ในยุคของมูซา ปัญหาคือการจัดการกับความมั่งคั่งทางกายภาพที่ท่วมท้น แต่ในยุคปัจจุบัน ปัญหาคือการจัดการกับ หนี้สิน และ คำมั่นสัญญาที่เป็นกระดาษ ที่ท่วมท้นอยู่ในระบบการเงินโลก

ท้ายที่สุดแล้ว มรดกที่แท้จริงของมันซา มูซา ไม่ใช่เพียงแค่การแจกทองจนทำให้เศรษฐกิจอียิปต์ปั่นป่วน แต่คือการใช้ความมั่งคั่งเหล่านั้นเพื่อยกระดับอาณาจักรของตนเอง เมื่อพระองค์เสร็จสิ้นพิธีฮัจญ์ พระองค์ได้นำสถาปนิกและนักวิชาการกลับไปยังทิมบักตู เพื่อสร้างมัสยิด Djinguereber อันยิ่งใหญ่ และเปลี่ยนทิมบักตูให้เป็นศูนย์กลางแห่งความรู้และวัฒนธรรมอิสลาม โดยมีห้องสมุดที่จุต้นฉบับโบราณกว่า 800,000 ฉบับ

นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่ามูลค่าที่แท้จริงของความมั่งคั่ง ไม่ได้อยู่ที่การแสดงออกอย่างฟุ่มเฟือย แต่อยู่ที่การนำไปสร้างความมั่นคงและยกระดับสังคม

ดังนั้น แม้ว่าเราจะไม่มีใครมีทองคำมากพอที่จะทำให้ตลาดโลกพังทลายได้แบบมันซา มูซา แต่กองกำลังทางเศรษฐกิจที่พระองค์ปลดปล่อยออกมา ความสมดุลอันเปราะบางระหว่างอุปทาน อุปสงค์ และความเชื่อใจคือแรงผลักดันเดียวกันที่กำลังส่งราคาทองคำสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันนี้

อ้างอิง

India / Invest / Discovery / Markets / TOI / TheHistory / Caravans / DYK / NM / WHC / MC / MP / Digital / Medium / Global / EcoTimes / Times / SSGA / Frobes /

related