svasdssvasds

“Let Them” ทฤษฎีปล่อยเขา คำที่เปลี่ยนทั้งชีวิตคนนับล้านได้จริง

“Let Them” ทฤษฎีปล่อยเขา คำที่เปลี่ยนทั้งชีวิตคนนับล้านได้จริง

“The Let Them Theory” หนังสือที่เปลี่ยนสองคำธรรมดาให้กลายเป็นปรัชญาชีวิตที่ผู้คนทั่วโลกถึงขั้นสักไว้บนผิวหนัง ทฤษฎีที่ดังที่สุดของปี 2025

SHORT CUT

  • แนวคิด Let Them มีรากจากวัฒนธรรมป๊อป เริ่มจากบทพูดของตัวละคร มาเดีย (Madea) ในหนังของ ไทเลอร์ เพอร์รี (Tyler Perry) ก่อนจะถูกนำมาเขียนเป็นบทกวีโดย แคสซี ฟิลลิปส์ (Cassie Phillips) จนไวรัลใน TikTok
  • เมล ร็อบบินส์ (Mel Robbins) ต่อยอดจนกลายเป็นปรากฏการณ์  เธอหยิบคำว่า “Let Them” มาอธิบายผ่านพอดแคสต์และโซเชียล จนแตกออกเป็นหนังสือ The Let Them Theory ที่ขายถล่มทลายหลายล้านเล่ม
  • เพราะมันตรงกับยุคหลังโควิด – ผู้คนเผชิญความแตกต่างทางการเมือง ค่านิยม และต้องอยู่กับเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมากเกินไป “Let Them” จึงกลายเป็นคาถาปล่อยวาง ที่ช่วยให้คนโฟกัสกับสิ่งที่ควบคุมได้จริง ๆ

“The Let Them Theory” หนังสือที่เปลี่ยนสองคำธรรมดาให้กลายเป็นปรัชญาชีวิตที่ผู้คนทั่วโลกถึงขั้นสักไว้บนผิวหนัง ทฤษฎีที่ดังที่สุดของปี 2025

ในปี 2013 โลกถูกปลุกเร้าด้วยคำว่าให้ “Lean In” ที่ปลุกให้ผู้หญิงทั่วโลกกล้าเป็นผู้นำในที่ทำงาน 

ในปี 2018 เรามีคำว่า “Girl, Wash Your Face” ที่บอกให้ผู้หญิงหยุดเชื่อ “คำโกหกที่บอกตัวเอง” และลุกขึ้นใช้ชีวิตอย่างมั่นใจ

มาถึงวันนี้ ปี 2025 คำที่ครองใจผู้คนนับล้านคือ “Let Them”  ปรัชญาเรียบง่ายที่มาจากพอดแคสต์และโซเชียล ที่พัฒนาจนกลายมาเป็นหนังสือขายถล่มทลายระดับโลก

'ปล่อยเขาเป็นไป' แนวคิดง่าย แต่โดนใจ

ทฤษฎีปล่อยเขา  มีรากฐานมาจากบทพูดของตัวละคร มาเดีย (Madea) ที่สร้างโดยผู้กำกับและนักแสดงชาวอเมริกัน ไทเลอร์ เพอร์รี (Tyler Perry) ในภาพยนตร์ตลก–ดราม่าที่โด่งดัง บทพูดนี้พูดถึงการยอมรับและปล่อยให้คนอื่นเป็นไปตามทางของเขาเอง โดยไม่ฝืนหรือเหนี่ยวรั้ง ซึ่งต่อมากลายเป็นวลีที่ถูกตัดคลิปและแชร์ในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ TikTok จนได้รับความนิยมในหมู่ผู้ชมรุ่นใหม่

ในปี 2022 กวีชาวอเมริกัน แคสซี ฟิลลิปส์ (Cassie Phillips) เขียนบทกวีชื่อ “Let Them” ที่หยิบเอาแนวคิดนี้มาเล่าซ้ำในเชิงกวี เนื้อหาพูดถึงการปล่อยวางและไม่ควบคุมคนอื่น บทกวีนี้แพร่หลายอย่างรวดเร็วในโลกออนไลน์ 

ต่อยอดแนวคิดเป็นหนังสือ The Let Them Theory

ต่อมา นักพูดสร้างแรงบันดาลใจชื่อดัง เมล ร็อบบินส์ (Mel Robbins) นำแนวคิดนี้มาต่อยอด เธอพูดถึง “The Let Them Theory” ผ่าน พอดแคสต์และโซเชียลมีเดีย จนได้รับเสียงตอบรับมหาศาล  เธอทำให้วลีสั้น ๆ นี้กลายเป็นเครื่องมือทางจิตใจที่จับต้องได้ และในปี 2024 เธอได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ The Let Them Theory ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย ยอดขายหลายล้านเล่ม และกลายเป็น “ปรากฏการณ์ขายดี" อย่างน่าเหลือเชื่อ

เมล ร็อบบินส์ (Mel Robbins)  PHOTO AFP

ทำไม “The Let Them Theory”  ถึงดังในยุคนี้

คำตอบอยู่ที่สังคมหลังโควิด ผู้คนรู้จักเรื่องราวส่วนตัวของคนรอบตัวมากกว่าที่อยากรู้ ผ่าน Zoom ผ่านโซเชียล และยังเผชิญความแตกต่างทางการเมือง ค่านิยม และความเชื่อ แนวคิด “Let Them” จึงเป็นเหมือนยาวิเศษที่บอกให้เราหยุดเหนื่อยกับการพยายามควบคุมโลกภายนอก

นักบำบัดหลายคนยืนยันว่ามันช่วยจริง โดยเฉพาะกับ “คุณแม่” ที่แบกรับภาระการเลี้ยงลูก การจัดการครอบครัว และความรู้สึกผิดถ้าไม่ดูแลทุกอย่างให้สมบูรณ์

แต่สิ่งสำคัญจริงๆ  คือ “Let Them” นั้นไม่ได้ซับซ้อน มันคือการ ปล่อยวางสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ความคิด ความรู้สึก การกระทำของคนอื่น  และหันกลับมาเก็บพลังงานไว้ใช้กับสิ่งที่อยู่ในมือเรา  ร็อบบินส์ยอมรับเองว่านี่ไม่ใช่แนวคิดใหม่ มันมีอยู่แล้วทั้งในคำสอนพุทธ และปรัชญาสโตอิก 

แต่สิ่งที่เธอทำคือการ “รีแบรนด์” คำสั้น ๆ ให้ติดหู ติดปาก และนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เรื่องเพื่อนร่วมงาน ข้อขัดแย้งในครอบครัว ไปจนถึงคนแปลกหน้าที่เจอตามคิวจ่ายเงิน

สรุป 5 ข้อคิดจากหนังสือ ทฤษฎีปล่อยเขา  PHOTO AFP

สรุป 5 ข้อคิดจากหนังสือ ทฤษฎีปล่อยเขา 

ทีม SPRiNG ขอสรุป 5 ข้อคิดสำคัญ จากหนังสือเล่มนี้ ที่ไม่ใช่เพียงทฤษฎีสวยหรู แต่คือแนวทางที่สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวันจริง ๆ

1. คุณไม่สามารถควบคุมคนอื่นได้  และไม่จำเป็นต้องทำ

หนึ่งในความเหนื่อยที่สุดของชีวิต คือการพยายามเปลี่ยนใจหรือควบคุมคนอื่น เราอาจอยากให้เพื่อนร่วมงานเห็นด้วยกับความคิดเรา อยากให้คนรักเลิกทำพฤติกรรมที่ไม่ชอบ หรืออยากให้ครอบครัวเข้าใจเส้นทางที่เราเลือก แต่ความจริงก็คือ สิ่งเหล่านี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา

เมื่อเรายอมรับข้อนี้ได้ มันเหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะเราไม่ต้องเหนื่อยกับการวิ่งไล่ตามสิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้จริง สิ่งที่ควรทำคือหันกลับมาใส่ใจสิ่งที่อยู่ในมือเรา และปล่อยให้คนอื่นมีเส้นทางของตัวเอง การ “ปล่อย” ไม่ได้แปลว่าไม่แคร์ แต่คือการเคารพเสรีภาพและตัวตนของเขา

2. การปล่อยวางไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่คือการเลือกสันติภาพ

หลายคนกลัวว่าถ้าปล่อยวาง จะดูเหมือนยอมแพ้หรือไม่สู้ แต่ หนังสืออธิบายว่าการปล่อยวางคือ การเลือกสันติภาพในใจตัวเอง มากกว่าการปล่อยให้ความขัดแย้งกัดกินชีวิต

ในโลกจริง เราไม่สามารถชนะทุกการถกเถียง ไม่สามารถแก้ไขทุกความเข้าใจผิดได้เสมอไป การปล่อยวางบางเรื่องอาจไม่เปลี่ยนผลลัพธ์ภายนอก แต่เปลี่ยนความสงบภายในใจเราอย่างมหาศาล และนั่นคือชัยชนะที่แท้จริง การเลือกความสงบเหนือความตึงเครียดคือทักษะที่คนยุคนี้ต้องการอย่างยิ่ง

3. ความคิดเห็นของคนอื่นไม่ใช่มาตรวัดคุณค่าของเรา

เรามักถูกสังคมสอนให้แสวงหาการยอมรับจากคนอื่น คำชมทำให้เรามีค่า คำวิจารณ์ทำให้เราหวั่นไหว แต่ The Let Them Theory บอกว่า คุณค่าในตัวเราไม่ได้ถูกกำหนดโดยสายตาของใคร

เมื่อเราลดการให้ความสำคัญกับคำพูดหรือการตัดสินจากผู้อื่น เราจะเริ่มสร้างมาตรฐานของชีวิตจากภายใน ไม่ต้องรอให้ใครมาชี้ว่า “ดีพอหรือยัง” และไม่ต้องใช้ชีวิตเพื่อให้ถูกใจคนอื่นทั้งหมด เสียงของเราคือเสียงที่สำคัญที่สุด และเมื่อยึดมั่นในสิ่งนั้น เราจะมีความมั่นคงทางใจที่ยืนยาวกว่าเสียงใด ๆ จากภายนอก 

4. ฝึกปล่อยวางให้เป็นนิสัย ใจคุณจะเบากว่าที่เคย

การปล่อยวางไม่ใช่สิ่งที่ทำได้เพียงครั้งเดียวแล้วจบ แต่มันคือ “การฝึก” เหมือนการออกกำลังกายทางใจ ยิ่งทำบ่อย เราจะยิ่งมีภูมิคุ้มกันต่อแรงกดดันและความคาดหวังที่เข้ามาจากรอบตัว

การเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ เช่น ปล่อยให้คนขับรถปาดหน้าโดยไม่เอาไปคิดมาก หรือยอมรับว่าคนในครอบครัวบางคนมีทัศนคติที่เราเปลี่ยนไม่ได้ ก็เป็นการฝึกกล้ามเนื้อแห่งการปล่อยวาง เมื่อทำซ้ำ ๆ เราจะรู้สึกว่าใจเบา ไม่ถูกลากไปกับทุกปัญหา และมีพลังเหลือไว้ใช้กับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ

5. หันกลับมาโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ในมือเรา 

อีกครึ่งหนึ่งของแนวคิดนี้คือ “Let Me” หรือ “ให้ฉันทำสิ่งที่ทำได้” การปล่อยวางสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องอยู่เฉย ๆ ตรงกันข้าม มันทำให้เรามีพลังมากขึ้นในการลงมือทำสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตเรา

จะเป็นการดูแลสุขภาพให้ดีขึ้น เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ จัดการความสัมพันธ์กับคนที่เราเลือกคบ หรือแม้แต่ปรับห้องนอนให้เป็นมุมสงบ การโฟกัสกับสิ่งเล็ก ๆ ที่ควบคุมได้ คือการลงทุนทางใจที่มีค่ามากที่สุด และนั่นคือสิ่งที่สร้างความสุขและความสงบระยะยาว

ที่มา : washingtonpost /melrobbins

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

related