การเมืองเดือดจัด! ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า จ่อฟ้อง ประเด็นถูกพาดพิงเชื่อมโยง เบน สมิธ , โรมสวน "ท่านจะไปฟ้องปิดปากผมทำไม"
การเมืองไทยร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง และศึกแห่งศักดิ์ศรีที่อาจจบลงในชั้นศาล เมื่อ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลั่นว่าจะดำเนินการฟ้องร้อง รังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อ จากพรรคประชาชน หลังถูกพูดพาดพิงว่ามีความสัมพันธ์กับ นายเบน สมิธ บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการสำคัญในเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ
ท่าทีของร้อยเอกธรรมนัส ชัดเจนและแข็งกร้าว ดุดัน เขาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ประกาศว่าจะฟ้องร้องนายรังสิมันต์อย่างแน่นอน พร้อมทั้งปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง
ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ท้าให้นายรังสิมันต์เตรียมตัวรับผลที่จะตามมา "การเอาเรื่องที่ไม่จริงมาพูด คุณต้องพร้อมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้น" ร้อยเอกธรรมนัสกล่าว พร้อมเสริมว่านอกจากการฟ้องคดีอาญาแล้ว จะมีการฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งหลักพันล้านบาทจากผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบด้วย
ผู้สื่อข่าวถามต่อ จะเดินหน้าฟ้อง นายรังสิมันต์ ใช่หรือไม่ ร้อยเอกธรรมนัส ระบุว่า ทำอยู่แล้ว ทุกคนที่พูดในสภาฯ คอมเมนต์ทำให้ตนเองเสียหาย ฟ้องร้องไปแล้วร้อยกว่าคดี ขออย่าทำกัน ทางด้านคำถามว่าอะไรที่ทำให้ประชาชนเข้าใจว่า ร้อยเอกธรรมนัสเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ ร้อยเอกธรรมนัส อุทานว่า “สแกมเมอร์จะบ้าหรือไง คนอย่างผมไปยุ่งกับสแกมเมอร์” ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “รู้หรือไม่ที่จับสแกมเมอร์ตนเองก็อยู่เบื้องหลังประสานตำรวจไซเบอร์ คุณไม่รู้จริงก็พูดกันไปเรื่อย เป็นเพราะคุณรับงานใครมา”
เมื่อถามย้ำว่าไม่รู้จักกับบุคคลที่เขาพาดพิงใช่หรือไม่ ร้อยเอกธรรมนัส ถามกลับว่า “คุณรู้หรือยังเขาไปทำอะไรผิด เขาทำธุรกิจ ธุรกิจเขาเสียหายทั้งภายในและต่างประเทศ คุณเอาข่าวมั่วมาขยายความ เดี๋ยวจะเดือดร้อน เอาตัวให้รอดก่อนเถอะ”
เพียงไม่นานหลังจากคำขู่ของร้อยเอกธรรมนัส นายรังสิมันต์ โรม ได้ใช้โซเชียลมีเดียเป็นเวทีตอบโต้ทันควัน
"ท่านธรรมนัสอย่าเพิ่งร้อนตัว" นายรังสิมันต์เริ่มต้น "ผมยังไม่ได้บอกตรงไหนว่าท่านทำสแกมเมอร์ หรือทำธุรกิจฟอกเงิน ผมแค่บอกว่าคนของสมเด็จฮุนเซ็น ชื่อ เบน สมิธ รู้จักท่านเป็นอย่างดี คนนี้เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ท่านจะไปฟ้องปิดปากผมทำไม"
"ท่านเป็นรองนายกควรปกป้องคนออกมารักษาผลประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่พยายามปิดปากเขา" นายรังสิมันต์กล่าว เป็นการยกระดับการต่อสู้จากเรื่องส่วนตัวให้กลายเป็นเรื่องของผลประโยชน์สาธารณะ"