SHORT CUT
จากกรณีของนายกัน จอมพลัง ที่พยายามใช้ 'สงครามเสียง' สร้างการรบกวนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชานั้น คล้ายคลึงกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นบริเวณชายแดนเกาหลีเหนือ-ใต้เช่นกัน
หนึ่งในชาวบ้านบนเกาะ เปิดเผยว่า จากที่เคยหลับไปพร้อมกับเสียงแมลง และตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงนก พวกเขาต้องเผชิญกับอาการนอนไม่หลับทุกคืน เพราะเสียงที่ฟังดูเหมือนเพลงประกอบภาพยนตร์สยองขวัญที่ถูกเปิดให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้
ก่อนหน้านี้สำนักข่าว AFP เคยลงพื้นที่เพื่อพิสูจน์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และต้องพบกับการแผยแพร่เสียงประหลาดในยามค่ำคืน มีตั้งแต่เสียงกรีดร้องของผู้คนที่กำลังตายในสนามรบ เสียงปืน เสียงระเบิด พร้อมด้วยดนตรีที่น่าขนลุกที่เริ่มบรรเลงเวลา 23.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ท่ามกลางบรรยากาศในชนบทที่มืดสนิท
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ชาวบ้านบนเกาะเล่าว่าฝ่ายเกาหลีเหนือเคยใช้กลยุทธ์เผยแพร่เสียงแบบนี้มาก่อน แต่เดิมทีพวกเขาใช้เพื่อเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อ เน้นการวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำเกาหลีใต้ หรือยกย่องผู้นำเกาหลีเหนือ ก่อนจะถูกเปลี่ยนเป็นเสียงชวนขนลุก ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อทรมานผู้คน
โรลี่ คอกซ์ นักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์สกล่าวว่า การทรมานฝ่ายศัตรูด้วยมลพิษทางเสียงและการอดนอน เป็นกลยุทธ์ที่เคยทุกใช้มานับครั้งไม่ถ้วนในทุกระบอบการปกครอง ซึ่งเป็นวิธีทรมานที่ไม่ทิ้งรอยบาดแผลและไม่สามารถพิสูจน์ย้อนหลังได้
โดยการเผชิญกับเสียงที่ดังเกิน 60 เดซิเบลในเวลากลางคืนจะเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการนอนไม่หลับ ขณะที่ชาวบ้านบนเกาะคังฮวาต้องเผชิญกับเสียงที่ดังมากกว่า 80 เดซิเบล
ชาวบ้านหลายคนรู้สึกสิ้นหวังและไม่สามารถแบกรับการใช้ชีวิตท่ามกลางเสียงดังกล่าวได้ พวกเขาเดินทางไปกรุงโซลและคุกเข่าลงเพื่อขอร้องสมาชิกรัฐสภาให้หาทางออก โดยเล่าถึงความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นบนเกาะแห่งนี้ พร้อมย้ำว่า พวกเขายินดีมากกว่า หากต้องเผชิญน้ำท่วม ไฟไหม้ หรือแม้แต่แผ่นดินไหว เพราะอย่างน้อยก็มีระยะเวลาการฟื้นตัวที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ทางฝั่งเกาหลีใต้เองก็มีการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อผ่านเครื่องขยายเสียงตามแนวชายแดนระหว่างเกาหลีเช่นกัน
สงครามเสียงนี้ดำเนินไปเป็นระยะเวลาเกือบ 1 ปี ก่อนจะยุติลงในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เมื่อนายอี แจ-มยอง ที่ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ ได้ประกาศถึงความตั้งใจที่จะกลับมาเจรจากับเกาหลีเหนืออย่างสันติอีกครั้ง