svasdssvasds

"ดมิทรี คิเซลยอฟ" พิธีกรข่าว อาวุธ ของความคลั่งชาติอย่างเปิดเผย

"ดมิทรี คิเซลยอฟ" พิธีกรข่าว อาวุธ ของความคลั่งชาติอย่างเปิดเผย

ดมิทรี คิเซลยอฟ พิธีกรข่าว "อาวุธ" ของความคลั่งชาติ เคยประกาศ "ความเป็นกลางเป็นเรื่องโกหก" ทำลายจริยธรรมสื่อรัสเซียและโหมไฟสงครามข้อมูลอย่างเปิดเผย

SHORT CUT

  • ดมิทรี คิเซลยอฟ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ของ Rossiya Segodnya ซึ่งเป็นสำนักข่าวของรัฐที่ควบคุมโดยรัฐบาลตั้งแต่ปี 2013
  • คิเซลยอฟได้สร้างความตกตะลึงด้วยการประกาศปรัชญาใหม่ที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานของวารสารศาสตร์ โดยระบุอย่างชัดเจนว่า "ยุคของวารสารศาสตร์ที่บริสุทธิ์และเป็นกลางได้จบลงแล้ว" และ "ความเป็นกลางเป็นเพียงเรื่องโกหก"
  • การปฏิบัติการของคิเซลยอฟเน้นการใช้ วาทกรรมคลั่งชาติเชิงรุก ลดทอนความเป็นมนุษย์

ดมิทรี คิเซลยอฟ พิธีกรข่าว "อาวุธ" ของความคลั่งชาติ เคยประกาศ "ความเป็นกลางเป็นเรื่องโกหก" ทำลายจริยธรรมสื่อรัสเซียและโหมไฟสงครามข้อมูลอย่างเปิดเผย

หากจะกล่าวถึงบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดทิศทางความคิดของชาวรัสเซียในยุคปัจจุบัน ชื่อของ ดมิทรี คอนสตานติโนวิช คิเซลยอฟ (Dmitry Kiselyov) จะต้องถูกจัดอยู่ในลำดับต้นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

\"ดมิทรี คิเซลยอฟ\" พิธีกรข่าว อาวุธ ของความคลั่งชาติอย่างเปิดเผย

เขาไม่ใช่แค่นักข่าวหรือผู้ประกาศข่าวธรรมดา แต่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในฐานะผู้ควบคุมสื่อและเป็นหัวหอกในการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลรัสเซียอย่างเปิดเผย

\"ดมิทรี คิเซลยอฟ\" พิธีกรข่าว อาวุธ ของความคลั่งชาติอย่างเปิดเผย

บทบาทสำคัญที่สุดของเขาคือการเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของ Rossiya Segodnya ซึ่งเป็นสำนักข่าวของรัฐที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลโดยตรง นับตั้งแต่การก่อตั้งในปี 2013 ตามพระราชกฤษฎีกาของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน 

นอกจากนี้ เขายังดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการของบริษัท All-Russia State Television and Radio Broadcasting Company อีกด้วย

แม้ว่าในปัจจุบันคิเซลยอฟจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของการโฆษณาชวนเชื่อที่เชิดชูความเป็นชาตินิยมสุดโต่ง แต่ชีวิตในวัยหนุ่มของเขากลับมีแง่มุมที่น่าประหลาดใจ เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยรัฐเลนินกราดในสาขาอักษรศาสตร์สแกนดิเนเวียนและเคยแสดงความกล้าหาญทางวิชาชีพในช่วงต้นอาชีพการงาน 

\"ดมิทรี คิเซลยอฟ\" พิธีกรข่าว อาวุธ ของความคลั่งชาติอย่างเปิดเผย

ในปี 1991 คิเซลยอฟถูกถอดออกจากรายการข่าว Television News Service เนื่องจากเขาปฏิเสธที่จะอ่านข้อความที่เตรียมไว้เกี่ยวกับการปราบปรามการประท้วงในวิลนีอุสโดยกองทัพโซเวียต การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าครั้งหนึ่งเขาเคยมีความมุ่งมั่นที่จะรักษาความเป็นอิสระทางวารสารศาสตร์ไว้ แม้จะต้องเผชิญหน้ากับอำนาจรัฐก็ตาม

คำถามสำคัญที่ตามมาก็คืออะไรคือสิ่งที่ทำให้บุคคลที่เคยแสดงความกล้าหาญทางจริยธรรมหันมาสวมบทบาทเป็น "หัวหน้าหน่วยโฆษณาชวนเชื่อ" อย่างเต็มตัว การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอาชีพของคิเซลยอฟเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของความตกต่ำทางจริยธรรมของสื่อมวลชน เมื่ออุดมการณ์คลั่งชาติและความจงรักภักดีต่อรัฐอยู่เหนือเหตุผลและความจริงทั้งหมด

เมื่อสื่อเปลี่ยนสถานะเป็น "อาวุธ"

การแต่งตั้ง ดมิทรี คิเซลยอฟ ให้เป็นผู้นำของ Rossiya Segodnya ในปี 2013 ไม่ใช่แค่การปรับตำแหน่งผู้บริหารสื่อ แต่เป็นการส่งสัญญาณเชิงกลยุทธ์จากเครมลินว่า สื่อของรัฐได้เปลี่ยนสถานะจาก "ช่องทางการรายงานข่าว" ไปเป็น "อาวุธ" อย่างเป็นทางการ 

คิเซลยอฟไม่ใช่แค่นักข่าวที่ลำเอียง แต่เป็นนายพลผู้บัญชาการในสงครามข้อมูล โดยได้รับมอบหมายโดยตรงจากประธานาธิบดีปูติน

นักวิเคราะห์ระบุว่า การก่อตั้ง Rossiya Segodnya ซึ่งเป็นการรวมศูนย์อำนาจสื่อของรัฐ เช่น RIA Novosti และ Voice of Russia เป็นการเตรียมพร้อมอย่างจริงจังสำหรับการเผชิญหน้ากับโลกตะวันตกในสิ่งที่รัสเซียรับรู้ว่าเป็น "สงครามข้อมูล" (information warfare) 

การกระทำดังกล่าวสะท้อนว่ารัฐบาลรัสเซียมองสื่อเป็น "National Champion" หรือตัวแทนหลักของประเทศที่ต้องทำหน้าที่ในการรบระดับโลก เพื่อต่อสู้กับสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นความพ่ายแพ้ใน "สงครามที่สำคัญเพื่อความคิดเห็นของโลก" (crucial war for world opinion) 

\"ดมิทรี คิเซลยอฟ\" พิธีกรข่าว อาวุธ ของความคลั่งชาติอย่างเปิดเผย

ดังนั้น การปฏิบัติการของคิเซลยอฟและการเผยแพร่วาทกรรมปลุกปั่นจึงไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพียงความผิดพลาดส่วนตัวทางวารสารศาสตร์ แต่เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติการทางยุทธศาสตร์ของรัฐอย่างเป็นระบบ การเปลี่ยนผ่านนี้แสดงให้เห็นถึงการล่มสลายของจริยธรรมสื่อในระดับสถาบันอย่างสิ้นเชิง เพราะจุดมุ่งหมายสูงสุดของสื่อได้เปลี่ยนไปรับใช้การปกป้องผลประโยชน์ของรัฐด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม แทนที่จะรายงานความจริงอย่างซื่อสัตย์

การถอดหน้ากากความเป็นกลาง เปลี่ยนเป็นบทบาทแห่งอคติ

ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ของ Rossiya Segodnya ในปี 2013 คิเซลยอฟได้สร้างความตกตะลึงให้กับประชาคมสื่อทั่วโลกด้วยการประกาศปรัชญาใหม่ที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานของวารสารศาสตร์ เขาประกาศอย่างชัดเจนว่า "ยุคของวารสารศาสตร์ที่บริสุทธิ์และเป็นกลางได้จบลงแล้ว" และ "ความเป็นกลางเป็นเพียงเรื่องโกหก" (objectivity is a myth)

คิเซลยอฟไม่ได้เพียงแต่ทำโฆษณาชวนเชื่อ แต่เขายังกล้าที่จะยอมรับมันอย่างเปิดเผย โดยโต้แย้งว่า การโฆษณาชวนเชื่อเป็นเพียง "ความพยายามที่จะอธิบายบางสิ่ง นำเสนอแง่มุมบางอย่าง" ซึ่งเป็นการล้างความผิดให้แก่การลำเอียงอย่างเป็นระบบ

คำประกาศที่โจ่งแจ้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่การแสดงความคิดเห็นส่วนตัว แต่เป็นการส่งสัญญาณอนุญาตอย่างเป็นทางการให้กับผู้สื่อข่าวและบรรณาธิการทุกคนในองค์กรภายใต้การควบคุมของรัฐให้ละทิ้งมาตรฐานจริยธรรมเดิมๆ

เมื่อผู้นำสูงสุดของเครือข่ายสื่อขนาดใหญ่ของรัฐประกาศว่าความเป็นกลางไม่มีอยู่จริง มันเท่ากับการบ่อนทำลายจริยธรรมสื่อจาก "บนลงล่าง" (top-down corrosion) อย่างเป็นระบบ ข้อมูลจากการวิเคราะห์สื่อระบุว่า ลักษณะเด่นของข่าวรัสเซียคือผู้ชม "แทบจะไม่ได้รับข้อเท็จจริงที่บริสุทธิ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ใดๆ เลย แต่จะได้รับเพียงการตีความที่ถูกปรุงแต่งมาแล้วเท่านั้น

Vesti Nedeli เรือธงของการปลุกปั่นอารมณ์คลั่งชาติ

รายการข่าวประจำสัปดาห์ Vesti Nedeli (Weekly News) ที่ออกอากาศทางช่อง Russia-1 และมี ดมิทรี คิเซลยอฟ เป็นพิธีกรหลักตั้งแต่ปี 2012 ถือเป็นพื้นที่หลักในการปลุกปั่นและเผยแพร่วาทกรรมชาตินิยมเชิงรุก 

เนื้อหาส่วนใหญ่มักเน้นย้ำถึงแสนยานุภาพทางทหารของรัสเซียอย่างต่อเนื่อง รายการมักเริ่มต้นด้วยการนำเสนอคุณลักษณะของสถานีเรดาร์ล่าสุด หรือการยกย่องปฏิบัติการทางทหารอย่างโอ้อวด 

มีการรายงานว่า รายการสองชั่วโมงของ Vesti Nedeli บางครั้งอุทิศเวลามากกว่า 30 นาทีให้กับการยกย่องการทัพทางทหารในซีเรียและนำเสนอภาพลูกเรือของเรือบรรทุกเครื่องบิน Admiral Kuznetsov ว่าเป็นวีรบุรุษที่กลับสู่บ้าน การมุ่งเน้นที่ความสำเร็จทางทหารนี้เกิดขึ้นแม้ในขณะที่ปัญหาภายในประเทศถูกปัดตกไปจากรายงานข่าว

\"ดมิทรี คิเซลยอฟ\" พิธีกรข่าว อาวุธ ของความคลั่งชาติอย่างเปิดเผย

การใช้วาทกรรมเกลียดชังเพื่อ "ลดทอนความเป็นมนุษย์" (Dehumanization)

กลยุทธ์สำคัญของคิเซลยอฟคือการสร้างความเกลียดชังและลดทอนความเป็นมนุษย์ของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ง่ายต่อการยุยงให้เกิดความรุนแรงหรือการปฏิบัติการทางทหาร

วาทกรรมต่อต้านกลุ่ม LGBTQ+ ของคิเซลยอฟนับเป็นตัวอย่างที่รุนแรงที่สุดของการใช้สื่อเพื่อสร้างกระแสเกลียดชัง คิเซลยอฟเรียกชุมชน LGBTQ+ ว่าเป็น "ชนกลุ่มน้อยที่ก้าวร้าว" (aggressive minority) ซึ่งต่อต้าน "ผู้ปกครองที่ต่อสู้เพื่อให้ลูกหลานได้รับการเลี้ยงดูอย่างมีสุขภาพที่ดี" 

ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนที่ไม่มีมูลความจริง โดยกล่าวอ้างว่าเด็กถึง 40% ที่ถูกเลี้ยงดูโดยคู่รักเพศเดียวกันจะมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

เขาเคยกล่าวข้อความที่รุนแรงและต่อต้านมนุษยธรรมอย่างมาก โดยระบุว่าอวัยวะของคนรักร่วมเพศ "ไม่คู่ควรที่จะถูกนำไปปลูกถ่ายให้กับคนรักต่างเพศ" และว่าบุคคลเหล่านี้ควรถูกห้ามบริจาคเลือดหรือสเปิร์ม 

เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมที่เกิดจากการรักร่วมเพศ คิเซลยอฟกลับกล่าวอ้างว่าบุคคลเหล่านี้ "เรียกร้องและกระตุ้นสถานการณ์อย่างรู้เท่าทันเพื่อที่จะกลายเป็นเหยื่อ" และสังคมย่อมตอบโต้กิจกรรมของกลุ่มนี้ด้วย "รูปแบบที่หลากหลายที่สุด ซึ่งรวมถึงรูปแบบที่โหดร้ายด้วย" การให้ความชอบธรรมต่อ "รูปแบบที่โหดร้าย" (brutal forms) นี้เป็นการยุยงให้เกิดความรุนแรงในสังคมอย่างชัดเจนและโดยตรง

การทำให้ชาวตะวันตกเป็นปีศาจ (Demonization of the West)

คิเซลยอฟสร้างภาพของโลกตะวันตกให้เป็นศัตรูที่คุกคามรัสเซียอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นว่าหากรัสเซียไม่ต่อต้าน ตะวันตกจะเข้ามาควบคุมและกำหนด "ค่านิยมที่เป็นพิษ" มีความพยายามอย่างเป็นระบบในการ "ลดทอนความเป็นมนุษย์ของชาวตะวันตกโดยเฉลี่ย" ด้วยการวาดภาพพวกเขาว่า "แปลกประหลาด, วิปริต, และไม่ยุติธรรม" 

การสร้างภาพลักษณ์ของศัตรูที่ชั่วร้ายและอันตรายนี้เป็นการเตรียมการทางจิตวิทยา เพื่อให้สาธารณชนรัสเซียยอมรับแนวคิดที่ว่า "รัสเซียมีสิทธิ์ที่จะสร้างระเบียบในเวทีโลก"

การประดิษฐ์ "ความจริงทางเลือก" และการบิดเบือนประวัติศาสตร์

ในบริบทของการรุกรานยูเครน วาทกรรมของคิเซลยอฟมุ่งเน้นไปที่การสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำทางทหารโดยการประดิษฐ์เรื่องราวที่เป็นเท็จ

คิเซลยอฟอ้างอย่างเป็นทางการว่า "รัสเซียกำลังรับภารกิจในการขับไล่ลัทธินาซีออกจากยุโรปอีกครั้ง" และได้เผยแพร่เรื่องราวที่ถูกกุขึ้นเกี่ยวกับ "ความโหดร้าย" ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำโดย "หน่วยสังหารชาวยูเครน" ในดอนบาส

นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมแนวคิดที่ว่ายูเครนถูกสร้างขึ้นโดยเลนิน เพื่อสร้างภาพลวงตาว่ารัสเซียซึ่งเป็นทายาทของสหภาพโซเวียต มีสิทธิ์เรียกร้องดินแดนยูเครน

คิเซลยอฟเคยกล่าวอ้างที่ไร้เหตุผลอย่างรุนแรงว่ามีการใช้ "รหัสพันธุกรรมยูเครน" เพื่อ "เจาะรหัสของชาวรัสเซีย" (เพื่อค้นหาจุดอ่อน) 

การกล่าวอ้างที่แปลกประหลาดนี้ทำหน้าที่ปลุกปั่นความหวาดระแวงอย่างรุนแรงและตอกย้ำแนวคิดว่ารัสเซียกับยูเครนคือ "ชาติเดียวกัน" ที่กำลังเผชิญกับการคุกคามทางชีวภาพจากภายนอก

การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าการละเลยจริยธรรมของคิเซลยอฟนั้นรุนแรงจนกระทั่งเขาเคยยอมรับว่ามีการนำเสนอข้อมูลเท็จในรายการของตนเอง ในปี 2016 คิเซลยอฟยอมรับว่าเอกสารที่เขาเคยนำเสนอใน Vesti Nedeli เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ยูเครนในหน่วย Galician SS-Volunteer นั้นเป็นของปลอม 

โดยเขา "ขอบคุณผู้ชมที่ช่างสังเกตที่พบ 'ความไม่ถูกต้อง' ในเอกสาร" การที่เขาเปิดเผยเอกสารปลอมแล้วยอมรับภายหลัง แต่ยังคงดำรงตำแหน่งและมีอิทธิพลอยู่ แสดงให้เห็นว่าความน่าเชื่อถือทางจริยธรรมไม่สำคัญอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญคือความสามารถในการสร้างความชอบธรรมทางอุดมการณ์ชาตินิยม

กรณีของคิเซลยอฟแสดงให้เห็นว่าความคลั่งชาติทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังทางจริยธรรมอย่างไร การสร้างความเกลียดชังต่อกลุ่มต่างๆ (ต่อ LGBTQ+, ต่อชาวยูเครน, ต่อตะวันตก) 

เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการสร้าง "ศัตรูร่วม" (common enemy) ซึ่งทำให้สังคมรวมตัวกันภายใต้การนำของรัฐได้ง่ายขึ้น และเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาภายในประเทศ 

นอกจากนี้ ผลการศึกษาทางสังคมวิทยาชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างการบริโภคสื่อของรัฐกับการสนับสนุนการกระทำทางทหารในยูเครน ซึ่งยืนยันว่าคำพูดของคิเซลยอฟไม่ได้เป็นเพียงแค่ความเห็น แต่เป็นเครื่องมือที่มีผลกระทบโดยตรงต่อความขัดแย้งและความมั่นคงระหว่างประเทศ

กรณีของ ดมิทรี คิเซลยอฟ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนและน่ากลัวที่สุดของการที่จริยธรรมสื่อถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์เพื่อรับใช้รัฐบาล 

บทบาทของเขาได้ข้ามพรมแดนจากวารสารศาสตร์ไปสู่การเป็น "อาวุธ" หรือ "หน่วยรบ" ทางข้อมูลอย่างถาวร คำกล่าวของเขาในปี 2013 ที่ว่าสิ่งที่รัสเซียต้องการไม่ใช่ความเที่ยงธรรม แต่เป็น "ความรัก" สำหรับรัฐ (State 'Love') 

ได้กลายเป็นการปฏิบัติการจริงในรูปแบบของการปิดบังอาชญากรรมสงครามของรัสเซีย และการสร้างภาพความชอบธรรมทางทหารอย่างไม่มีเงื่อนไข

การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์ของคิเซลยอฟคือการเปลี่ยนกรอบความคิดพื้นฐานของวารสารศาสตร์

ความจริงถูกนิยามใหม่ให้เป็นสิ่งที่รัฐต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถตรวจสอบได้ คิเซลยอฟแทนที่ "เหตุผล" ด้วย "อารมณ์" โดยเฉพาะอย่างยิ่งความโกรธ ความเกลียดชัง และความหวาดระแวงต่อศัตรูที่ถูกทำให้เป็นปีศาจ (เช่น ชาวตะวันตกและ LGBTQ+).5

ความเชื่อมโยงระหว่างความคลั่งชาติเชิงรุกกับการล่มสลายของจริยธรรมสื่อมีความชัดเจนและเป็นเหตุเป็นผลกัน เมื่อวารสารศาสตร์ยอมจำนนต่ออุดมการณ์ชาตินิยมสุดโต่ง มันจะเปิดประตูให้กับการยุยงให้เกิดความเกลียดชังและการลดทอนความเป็นมนุษย์

ในสภาพแวดล้อมที่ผู้บริโภคเลือกที่จะอยู่ใน "ห้องสะท้อนเสียง" ที่สบายใจ ความคลั่งชาติได้กลายเป็นใบอนุญาตให้สื่อสามารถโกหกได้อย่างเปิดเผยและยุยงให้เกิดความเกลียดชังโดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ชมภายในประเทศ

ผลกระทบของการกระทำนี้เป็นรูปธรรมและรุนแรง การบริโภคสื่อของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของคิเซลยอฟมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการสนับสนุนการกระทำทางทหารในยูเครน นั่นหมายความว่า การทำงานของเขาคือการกระตุ้นความขัดแย้งและสร้างความชอบธรรมให้แก่สงคราม

กรณีของ ดมิทรี คิเซลยอฟ เป็นบทเรียนที่น่ากลัวสำหรับประชาคมโลกและวงการสื่อมวลชน เมื่อใดที่สื่อเลิกสนใจการแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อรับใช้ความคลั่งชาติ นั่นหมายถึงการเปลี่ยนสื่อให้เป็นเครื่องมือแห่งความเกลียดชังโดยสมบูรณ์

ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลเสนอแนะว่า การทำงานของนักโฆษณาชวนเชื่อชาวรัสเซียควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและเป็นการกระทำความก้าวร้าว ตามมาตรา 39 ของกฎบัตรสหประชาชาติ 

การที่นานาชาติกำหนดมาตรการคว่ำบาตรอย่างเข้มงวดและดำเนินการตอบโต้ทางกฎหมายต่อองค์กรที่เขาเป็นผู้นำ แสดงให้เห็นถึงการยอมรับในระดับโลกแล้วว่า การโฆษณาชวนเชื่อที่ปลุกปั่นความคลั่งชาติจนละทิ้งเหตุผลนั้น เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ ไม่ใช่แค่ปัญหาทางจริยธรรมภายในองค์กรสื่อเท่านั้นเอง

อ้างอิง

Opensanctions / Csis / IMI / Gids / Kpcmn / RussiaPost / TMCT / TMT / FPA / Public / 1Lurer / OSCE / Hybridcoe /

 

related