SHORT CUT
พาส่อง ‘แบงก์พาณิชย์’ไทย 9 เดือน ปี2568 กำไรงาม 1.2 แสนล้านบาท โตสวนเศรษฐกิจไทย ส่วนใหญ่คุมหนี้เสีย-ลดต้นทุน ได้จึงทำให้มีกำไร
เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เศรษฐกิจไม่ดี แต่…ผลประกอบการยังดีต่อเนื่อง นั่นก็คือ แบงก์พาณิชย์ ที่เริ่มทยอยๆแจ้งผลประกอบการในไตรมาสที่3 ของปี2568 และ 9 เดือนแรกกันมาแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะมีกำไรกันถ้วนหน้า วันนี้ #SPRiNG จะพามาส่องดูความเคลื่อนไหวว่าแบงก์ไหนเป็นอย่างไรบ้าง? มาเริ่มกันที่ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3 และงวด 9 เดือน ปี 2568 โดยธนาคารและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิ 5,299 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ทรงตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รวม 9 เดือน ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 15,399 ล้านบาท ลดลง 4% ยังคงเน้นย้ำการบริหารจัดการด้านต้นทุนเพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไร
ด้านคุณภาพสินทรัพย์มีเสถียรภาพ อัตราส่วนหนี้เสียอยู่ที่ 2.81% ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ทั้งนี้ ธนาคารยังคงตั้งสำรองฯ พิเศษเพิ่มเติมจากระดับปกติ เพื่อคงอัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพในระดับสูงที่ 151% สอดคล้องกับพันธกิจต่อผู้ถือหุ้นในการรักษามูลค่าของผู้ถือหุ้นจากความเสี่ยงในอนาคต ด้านพันธกิจช่วยเหลือลูกค้ายังคงเดินหน้าช่วยเหลือลูกค้าแก้หนี้ผ่านหลากหลายโครงการ ครอบคลุมทั้งกลุ่มเปราะบางและลูกค้าประวัติดี
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานและแนวโน้มกำไรในไตรมาส 3 และรอบ 9 เดือน ปี 2568 ในภาพรวมถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย แต่ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดัน ด้านรายได้จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายขาลง รวมทั้งการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้า โดยธนาคารยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางการเงิน ต้นทุนการดำเนินงาน รวมทั้งการจัดการต้นทุนความเสี่ยงหรือค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ อย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าธนาคารสามารถรักษาแนวโน้มของผลการดำเนินงานควบคู่กับการมีกันชนป้องกันความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง
ต่อด้วย ธนาคารกรุงไทย มีกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2568 จำนวน 14,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 ได้แรงหนุนจากธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน และธุรกิจ Wealth Management พร้อมบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมุ่งเน้นดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง และรักษาระดับ Coverage Ratio ในระดับสูง รองรับภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน เร่งช่วยเหลือลูกค้าปรับตัวและแก้หนี้อย่างยั่งยืน
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 3 จากการเร่งส่งสินค้าไปสหรัฐฯ ก่อนขึ้นภาษีศุลกากร ส่วนในช่วง 2-3 ไตรมาสข้างหน้า มีแนวโน้มชะลอตัวจากการเร่งส่งออกที่หมดลง ขณะเดียวกัน ยังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้าง ทั้งความเปราะบางที่มีอยู่เดิม โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ การขาดความสามารถในการแข่งขันในโลกใหม่ และความท้าทายของภาครัฐ
ซึ่งล้วนจะยังคงกดดันการเติบโตของประเทศในระยะยาว อย่างไรก็ตาม คาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ภายใต้นโยบาย “Quick Big Win” ที่มุ่งเน้นกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว จะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจที่เติบโตในระดับต่ำ และมีโอกาสพลิกฟื้นความเชื่อมั่นในระยะข้างหน้า
ด้าน ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) (CREDIT) เผยผลกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 1,013.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 9.5% จากไตรมาสก่อน ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจำนวน 114.0 ล้านบาทหรือร้อยละ 2.6 ประกอบกับธนาคารมีกำไรจากการวัดมูลค่ายุติธรรมสำหรับสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนเท่ากับ 84.8 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการงวดเก้าเดือนแรกปี 2568 อยู่ที่ 2,841.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 16.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.82 บาทในไตรมาส 3 ปี 2568 และ 2.30 บาท ในงวดเก้าเดือนแรก สะท้อนฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งจากการดำเนินงานที่มีความรอบคอบและการบริหารความเสี่ยงที่แข้มแข็งพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจัยหลักที่หนุนการเติบโต ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 มาจากการขยายตัวของสินเชื่อรวมอยู่ที่ 177,670.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ธนาคารยังคงรักษาการเติบโตของพอร์ตหลักได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อธุรกิจ Micro SME ที่ขยายตัว 14.6%, สินเชื่อที่มีบ้านเป็นหลักประกันเพิ่มขึ้น 11.3%, และสินเชื่อบุคคลเติบโตโดดเด่น 55.3%
ขณะเดียวกัน ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ลดลงถึง 24.1% จากปีก่อน สะท้อนประสิทธิภาพของการบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่ออย่างรอบคอบ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ช่วยยกระดับคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (Gross NPLs Ratio) ปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 4.2% ถึงแม้ว่าอัตราส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin: NIM) จะปรับลดลงจากปีก่อน แต่ยังทรงตัวในระดับสูงที่ 7.6%
นายรอยย์ ออกุสตินัส กุนารา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT เปิดเผยว่า “ธนาคารไทยเครดิตยังคงเดินหน้าขยายพอร์ตสินเชื่ออย่างรอบคอบ ภายใต้กรอบการบริหารความเสี่ยงที่เข้มแข็ง พร้อมพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าทุกกลุ่ม และสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย ธนาคารยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโต โดยตั้งเป้ารักษาอัตราการขยายตัวของสินเชื่อในระดับเลขสองหลักอย่างต่อเนื่อง พร้อมควบคุมอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ให้อยู่ต่ำกว่า 4.5%”
ในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ธนาคารไทยเครดิตได้ขยายเครือข่ายสาขาเต็มรูปแบบอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดให้บริการเพิ่มอีก 3 สาขาในทำเลศักยภาพ ได้แก่ สาขาถนนนิมมานเหมินท์ จังหวัดเชียงใหม่ สาขาวี วรรณ ทาวเวอร์ และสาขาเซ็นทรัล พาร์ค เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม อีกทั้งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลยุทธ์การเติบโตของธนาคาร ทั้งในด้านการขยายฐานลูกค้าและการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการอย่างครบวงจร
ธนาคารไทยเครดิตมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “ทุกคนคือคนสำคัญ” เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างเท่าเทียม โดยให้ความสำคัญกับการสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยและไมโครเอสเอ็มอี (Micro SME) ซึ่งมักเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารขนาดใหญ่เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง ธนาคารจึงใช้จุดแข็งด้านเครือข่ายสาขาขนาดเล็กที่มีต้นทุนต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูงในการเข้าถึงและให้บริการลูกค้าได้อย่างใกล้ชิดในทุกชุมชน
ถัดมาคือ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) อยู่ที่ 13,007 ล้านบาท โต 5.79% ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ทำได้ 12,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.19% โดยทั้งสามธนาคารมีกำไรสะสม 9 เดือนเกิน 37,000 ล้านบาท ต่อราย
ตามมาด้วย บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ของปี 2568 จำนวน 12,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของกำไรจากเงินลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินงานของธุรกิจบริหารความมั่งคั่งที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง รวมทั้งการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับเก้าเดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 37,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในไตรมาส 3 ของปี 2568 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 29,413 ล้านบาท ลดลง 9.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ ซึ่งเป็นไปตามปริมาณสินเชื่อโดยรวมที่ลดลง 3.3% ภายใต้การปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ มีจำนวน 10,942 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.6% จากปีก่อน จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่งที่เติบโตอย่างโดดเด่นจากการขายผลิตภัณฑ์การลงทุนมูลค่าสูง รวมถึงการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมจากธุรกรรมทางการเงิน ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการให้สินเชื่อ และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ
รายได้จากการลงทุนและการค้ามีจำนวน 3,326 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากผลขาดทุนในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากกำไรจากพอร์ตการลงทุนของธนาคาร และของบริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จำนวน 17,575 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยที่ 0.2% จากปีก่อน จากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่ 40.2% บริษัทฯ ตั้งสำรองลดลง 1.3% จากปีก่อน เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยเฉพาะการปรับตัวดีขึ้นของบริษัท คาร์ด เอกซ์ จำกัด ทั้งนี้จำนวนสำรองดังกล่าวได้รวมสำรองพิเศษอีกจำนวน 1,400 ล้านบาท เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในอนาคต ส่งผลให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) คงอยู่ในระดับสูงที่ 161.7%
แม้เผชิญกับความผันผวนจากปัจจัยภายนอก บริษัทฯ ยังสามารถควบคุมคุณภาพของสินเชื่อโดยรวมได้ดี โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 อยู่ที่ 3.30% ลดลงจาก 3.38% ในปีก่อน เงินกองทุนตามกฎหมายของบริษัทฯ อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.9%
ด้าน ธนาคารกรุงเทพ รายงานกำไรสุทธิสำหรับ 9 เดือนปี 2568 จำนวน 38,247 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2568 เศรษฐกิจไทยชะลอตัวตามภาคการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งซื้อล่วงหน้าของประเทศคู่ค้าที่เริ่มชะลอลง ขณะเดียวกันภาคบริการซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังคงเผชิญแรงกดดันจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ต่ำกว่าคาด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สะท้อนภาวะอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงอ่อนแรง ขณะที่มาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจของภาครัฐมีข้อจำกัดจาก
นอกจากนื้ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิสำหรับ 9 เดือนปี 2568 จำนวน 38,247 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการบริหารจัดการสินทรัพย์ ด้วยการกระจายแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลาย ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจหลายด้าน โดยธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 94,364 ล้านบาท
และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 2.81 ซึ่งเป็นไปตามทิศทางอัตราดอกเบี้ย สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
จากกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน และกำไรจากเงินลงทุน ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงเล็กน้อยจากบริการธุรกรรมผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวม ทั้งนี้ ธนาคารยังคงพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานลดลงเป็นร้อยละ 44.7 นอกจากนี้ จากการที่ธนาคารตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง ธนาคารจึงตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับไตรมาส 3 ปี 2568 ลดลงจากไตรมาสก่อน ทำให้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับ 9 เดือนปี 2568 มีจำนวน 29,549 ล้านบาท
ธนาคารกรุงเทพยังคงแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,606,661 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.2 จากสิ้นปีก่อน โดยสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ยังคงมีการเติบโต สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 3.3 ซึ่งอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ และอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ร้อยละ 294.2 เป็นผลจากการที่ธนาคารยึดหลัก
รวมไปจนถึงการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่องธนาคารมีเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 จำนวน 3,174,287 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ร้อยละ 82.1 ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ร้อยละ 22.6 ร้อยละ 18.0 และร้อยละ 18.0 ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ส่วน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด มหาชน และบริษัทในเครือ รายงานผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2568 มีกำไรสุทธิจำนวน 24,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กำไรพิเศษที่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน บมจ. ติดล้อ โฮลดิ้งส์ (TIDLOR) ซึ่งบางส่วนสุทธิด้วยการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ สอดคล้องกับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและการชะลอตัวของเงินให้สินเชื่อ
ภายใต้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่มีความท้าทาย ส่งผลให้ความต้องการเงินให้สินเชื่อลดลง กรุงศรียังคงเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ระยะกลางและระยะยาวเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงิน และสร้างโอกาสการเติบโตในตลาดลูกค้ารายย่อยและผู้ประกอบการ SME โดยการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน TIDLOR เพิ่มขึ้นจาก 30.18% เป็น 46.51% ในไตรมาสสามของปี 2568
ขณะที่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ประกาศกำไรสุทธิ งวด 9 เดือน ปี 2568 จำนวน 1,830.4 ล้านบาท นายวุธว์ ธนิตติราภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568 มีรายได้จากการดำเนินงานจำนวน 10,549.4 ล้านบาทลดลง 236.1 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.2 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2567
สาเหตุหลักเกิดจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิร้อยละ 15.1 และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิร้อยละ 0.5 สุทธิกับการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่นร้อยละ 34.0 กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 5,248.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,037.5 ล้านบาทหรือร้อยละ 24.6 เนื่องจากการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานร้อยละ 19.4 สุทธิกับการลดลงของรายได้จากการดำเนินงานร้อยละ 2.2 กำไรสุทธิจำนวน 1,830.4 ล้านบาท ลดลงจำนวน 59.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.2 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันสาเหตุหลักเกิดจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 59.5 โดยเป็นการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับหลักความระมัดระวังและเหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
ทั้งเมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานงวดเก้าเดือนปี 2568 และ 2567 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 1,094.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.1 จากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงจำนวน 5.1 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.5 สาเหตุหลักเกิดจากการลดลงของค่าธรรมเนียมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัย สุทธิกับการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่นจำนวน 863.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 34 ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเงินลงทุน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘แบงก์ชาติ’ ปรับเกณฑ์ปลดล็อกบัญชี ช้าสุดไม่เกิน 4 ชม. ร้องเรียนก่อนทุ่มเสร็จในสิ้นวัน
ถกปรับแนวทาง อายัดบัญชีม้า 14 ก.ย. แบงก์ชาติ หวังลดผลกระทบประชาชน
"วิทัย รัตนากร" ผงาดนั่งผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ คนใหม่ มีผล 1 ต.ค.นี้