
มื่อจังหวะของตลาดสะท้อนอารมณ์ของนักลงทุนและสัญญาณของเศรษฐกิจ ,คำศัพท์ ตลาดหมี - ตลาดกระทิง คืออะไร บอกอะไรกับเศรษฐกิจโลก หุ้น คริปโต สินทรัพย์อื่น
แน่นอนว่าผู้ที่สนใจในความมั่งคั่ง การเงิน และการลงทุน ย่อมคุ้นเคยกับศัพท์ "ตลาดหมี" (Bear Market) และ "ตลาดกระทิง" (Bull Market) กันมาบ้าง เพราะนี่คือชื่อเรียกสากลที่ใช้อธิบาย "ทิศทาง" ของตลาดสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นหุ้น คริปโตเคอร์เรนซี หรือสินทรัพย์อื่นๆ สัญลักษณ์จากสัตว์ทั้งสองนี้ ไม่ได้หมายถึงแค่การขึ้นลงของราคาเท่านั้น แต่บ่งบอกถึงมุมมองและความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อเศรษฐกิจในภาพรว
"ตลาดหมี" และ "ตลาดกระทิง" คือศัพท์เฉพาะในโลกการเงินที่ใช้เปรียบเทียบสภาวะการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดสินทรัพย์ ที่สื่อถึงการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและยาวนาน
1. ตลาดกระทิง (Bull Market) คือช่วงที่ราคาสินทรัพย์หรือดัชนีตลาดปรับตัว เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปคือการที่ตลาดเพิ่มขึ้นกว่า 20% จากจุดต่ำสุดก่อนหน้า (มักจะดำเนินต่อเนื่องไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง)
ความหมายต่อเศรษฐกิจ: สะท้อนถึง ความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่ง ของนักลงทุน เศรษฐกิจที่มีกิจกรรมเฟื่องฟู และกำไรของบริษัทที่เติบโต เป็นช่วงที่เงินทุนหลั่งไหลเข้าสู่ตลาด สร้างความมั่งคั่งและกระตุ้นการใช้จ่าย
2. ตลาดหมี (Bear Market) คือช่วงที่ราคาสินทรัพย์หรือดัชนีตลาดปรับตัว ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปคือนักวิเคราะห์กำหนดให้ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อมูลค่าตลาดลดลงกว่า 20% จากมูลค่าสูงสุดครั้งล่าสุด (มักดำเนินต่อเนื่องไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง)
ความหมายต่อเศรษฐกิจ: สะท้อนถึง มุมมองเชิงลบและความไม่มั่นใจ ของนักลงทุน ทำให้มีการเทขายหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อโยกเงินไปยัง สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรหรือเงินฝากธนาคาร การกระทำนี้บ่งชี้ถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้
การเคลื่อนไหวของ "กระทิง" และ "หมี" ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตลาดหุ้นใดตลาดหุ้นหนึ่ง แต่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลก:
หุ้นและดัชนี: ได้รับผลกระทบโดยตรงตามคำนิยาม หากตลาดหุ้นขนาดใหญ่ทั่วโลกเข้าสู่ตลาดหมี มักส่งผลให้ตลาดหุ้นอื่น ๆ อ่อนแอลงด้วย
คริปโทเคอร์เรนซี: แม้จะถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ทางเลือก แต่คริปโทฯ เช่น Bitcoin และ Ethereum ก็มักถูกจัดอยู่ในกลุ่ม สินทรัพย์เสี่ยงสูง ในช่วงตลาดหมีของตลาดหุ้น นักลงทุนมักเทขายคริปโทฯ ไปพร้อมกัน ทำให้ราคาร่วงลงอย่างหนักตามตลาดหลักทรัพย์
สินทรัพย์อื่น ๆ: ในภาวะตลาดหมี นักลงทุนจะแสวงหา สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง (Defensive Assets) เช่น หุ้นของบริษัทที่มีรายได้มั่นคงไม่ผันผวนตามวัฏจักรเศรษฐกิจ พันธบัตรรัฐบาล หรือทองคำ ซึ่งมักมีมูลค่าสวนทางกับสินทรัพย์เสี่ยง
ตัวชี้วัดเศรษฐกิจโลก : ตัวเลขทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น อัตราการเติบโตของ GDP, อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงาน มีบทบาทโดยตรงต่อการกำหนดทิศทางของตลาด การที่ธนาคารกลางต่าง ๆ ใช้นโยบายการเงิน เช่น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทั่วโลก เป็นปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนความเชื่อมั่นและอาจผลักดันให้ตลาดเข้าสู่ภาวะหมี
ต้นกำเนิดของการใช้ "หมี" และ "กระทิง" ในการเปรียบเปรยตลาดการเงินที่ได้รับความนิยมที่สุดมาจาก ท่าทางการโจมตี ของสัตว์เหล่านั้น:
กระทิง (Bull): เมื่อเข้าโจมตี จะใช้เขา ขวิดหรือดันขึ้นด้านบน ซึ่งถูกนำมาเปรียบเทียบกับทิศทางของราคาในตลาดที่ พุ่งทะยานสูงขึ้น
หมี (Bear): เมื่อเข้าโจมตี จะใช้กรงเล็บ ตะปบหรือฟาดลงมาด้านล่าง ซึ่งถูกเปรียบเทียบกับทิศทางของราคาในตลาดที่ ปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีที่น่าสนใจ เช่น พ่อค้าหนังหมี (The Bearskin Jobbers) ในอดีต ที่ทำธุรกิจเก็งกำไรโดยการ "ขายหนังหมีล่วงหน้า" ที่ยังไม่ได้ครอบครองจริง ๆ โดยหวังว่าราคาจะตกลง (คล้ายกับการ Short Selling) จึงทำให้ "Bear" กลายมาเกี่ยวข้องกับภาวะตลาดขาลง
ไม่ว่าจะมาจากที่มาใด คำว่า "Bull" และ "Bear" ก็ตอกย้ำให้เห็นว่าตลาดการเงินนั้นเต็มไปด้วยพลังที่แข็งแกร่งและคาดเดายากไม่ต่างจากสัตว์ป่าทั้งสองชนิด
การลงทุนทุกครั้งมีความเสี่ยง เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องตระหนักอยู่เสมอ ดังนั้น เราต้องโฟกัสให้ดี ว่า ณ เวลานี้ที่เราลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ ก็ตาม เรากำลังอยู่ในภาวะตลาดแบบไหน จะเป็นหมี หรือ กระทิง การทำความเข้าใจวัฏจักรเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด และเตรียมรับมือกับความผันผวนได้อย่างมีสติ ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงขาขึ้นที่น่าตื่นเต้น หรือช่วงขาลงที่ท้าทายก็ตาม
ที่มา : investopedia merriam-webster ftportfolios
ข่าวที่เกี่ยวข้อง