
SHORT CUT
พระเมรุมาศ จาก 'มหรสพแห่งความตาย' สู่ความสงบสงัด การเปลี่ยนผ่านนี้เกิดจากการสร้าง "ความเป็นรัฐชาติ" และความสง่างามตามมาตรฐานตะวันตก ในยุค ร.6
งานพระเมรุมาศเป็นหนึ่งในพิธีที่ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของประเทศไทย พิธีนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนคติความเชื่อเรื่องจักรวาลวิทยาเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีแห่งการแสดงอำนาจทางการเมืองมาตั้งแต่อดีต หากเรามองย้อนกลับไปในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์
เราจะพบภาพที่น่าตกใจและแตกต่างจากภาพจำในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง เพราะงานพระเมรุในสมัยนั้นไม่ได้เป็นไปอย่างเงียบขรึมและโศกเศร้า แต่กลับเป็น มหรสพรื่นเริงขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยการละเล่น การร้องรำทำเพลง ดุจเทศกาลรื่นเริงที่จัดขึ้นอย่างโอฬาร
นี่จึงนำมาสู่คำถามสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ "ทุ่งพระเมรุ" ซึ่งเคยเป็นลานจัดมหรสพขนาดใหญ่ กลายเป็น "ท้องสนามหลวง" ที่อบอวลไปด้วยความสงบเงียบ
เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมมหรสพจึงเป็น "ธรรมเนียมที่ขาดไม่ได้" ในงานพระเมรุโบราณ เราจำเป็นต้องย้อนกลับไปมองที่รากฐานทางคติความเชื่อดั้งเดิมของภูมิภาคอุษาคเนย์ ความเชื่อเหล่านี้มองว่าความตายเป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่ภพภูมิใหม่ และยังเป็นช่วงเวลาแห่งการ "ออกทุกข์" ของประชาชนและผู้ร่วมพิธี
รากฐานที่เก่าแก่ที่สุดของมหรสพในงานศพไทยไม่ได้มาจากพิธีในราชสำนัก แต่มาจากศาสนาผีและความเชื่อพื้นถิ่นที่มีมานานหลายพันปี
สุจิตต์ วงษ์เทศ ชี้ให้เห็นว่า ต้นแบบหรือต้นทางของมหรสพในงานศพของไทย (ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและภาคกลาง) สืบเนื่องมาจากความเชื่อในศาสนาผีมาหลายพันปีแล้วของคนทุกเผ่าพันธุ์ในอุษาคเนย์ ภายใต้พิธีกรรมที่เรียกว่า "งันเฮือนดี"
คติความเชื่อดั้งเดิมนี้ระบุว่า แม้ร่างกายจะตายไปแล้ว แต่ขวัญ (Soul) ไม่ได้ตาย เพียงแต่ขวัญหายออกจากร่างและหลงทางกลับไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องจัดกิจกรรมเพื่อ "เรียกขวัญ" หรือส่งขวัญ
จุดประสงค์ดั้งเดิมของกิจกรรมนี้จึงไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่คือการตีเกราะเคาะไม้ ประโคมฆ้องกลอง ร้องรำทำเพลง เต้นฟ้อนสนุกสนานเฮฮา และส่งเสียงดังกึกก้อง เพื่อให้ "ขวัญ" ของผู้ตายได้ยินและกลับถูกทางเพื่อคืนร่าง หรือเพื่อส่งขวัญไปสู่โลกใหม่
การละเล่นเหล่านี้ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั้งในงานศิลปะโบราณ เช่น ลายสลักบนขวานสำริดวัฒนธรรมดองซอนที่มีรูปหมอขวัญกับหมอแคนขับลำทำท่าฟ้อน
ในวรรณกรรมราชสำนักกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น บทละครเรื่อง อิเหนา (พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2) ซึ่งพรรณนาการละเล่นสนุกสนานในงานพระเมรุที่เมืองหมันหยา ซึ่งมีการเชิดหุ่น, โขนโรงใหญ่, และเสียงฆ้องกลองตีทุกโรงงาน
ดังนั้น สถานะของมหรสพในอดีตจึงเป็นพิธีกรรมทางจิตวิญญาณและสังคม (Communal Grieving) ที่ช่วยให้ชุมชนได้ผ่อนคลายความทุกข์โศกที่มาจากความสูญเสีย การยกเลิกมหรสพจึงเท่ากับการยกเลิก "พิธีเรียกขวัญ" ในทางสัญลักษณ์ไปโดยปริยาย
นอกจากมิติทางคติชนแล้ว งานพระเมรุในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 4) ยังถูกจัดอย่างโอ่อ่าและยิ่งใหญ่ด้วยงานมหรสพเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่และสะท้อนความมั่นคงของบ้านเมือง
นายวัฒนะ บุญจับ นักวิชาการสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ระบุว่า การทำพระเมรุมาศและพระเมรุเจ้านายสมัยก่อนเป็นการเกณฑ์ทั้งกำลังคนและทรัพยากร ซึ่ง "ถ้าการที่สร้างได้ยิ่งใหญ่มาก ก็หมายถึงความสามารถในการคุมขุมพลังและความจงรักภักดี"
ความรื่นเริงและเสียงดังจึงเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารทางการเมือง ภายใต้คติเทวราชา เมื่อยิ่งใหญ่และใช้ทรัพยากรมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงถึงความมั่นคงของแผ่นดินใหม่เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เด่นดาว ศิลปานนท์ ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชี้ให้เห็นว่า การสร้างพระเมรุมาศเป็นการถวายพระเกียรติยศ และยังเป็นการ "ประกาศความมั่นคงของบ้านเมือง ด้วยเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแผ่นดินใหม่" ซึ่งสอดคล้องกับคติที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้งานพระเมรุเปลี่ยนบรรยากาศจากเทศกาลรื่นเริงมาสู่ความสงบเงียบขรึมนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป เริ่มต้นในยุคที่สยามต้องพิสูจน์ตนเองต่อมหาอำนาจตะวันตกในฐานะรัฐชาติสมัยใหม่ (Modern Nation-State)
สัญญาณแรกของการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยเฉพาะในงานพระบรมศพของพระองค์เอง
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ชี้ว่า มีการปรับลดขนาดของพระเมรุมาศลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเน้นความประหยัด แต่ยังคงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณีและสมพระเกียรติตามพระราชอิสริยยศ การลดขนาดนี้ได้กลายเป็นแบบแผนที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
การลดความโอ่อ่าฟุ่มเฟือยของพิธีกรรมที่เคยใช้กำลังคนและทรัพยากรมหาศาล ถือเป็นสัญญาณแรกของการรับแนวคิดการบริหารจัดการแบบตะวันตก ซึ่งมองว่าการใช้ทรัพยากรของรัฐอย่างมหาศาลในพิธีกรรมทางศาสนาเป็นเรื่องสิ้นเปลืองและไม่ทันสมัย การปรับลดขนาดจึงเป็นเครื่องมือในการสื่อสารถึงการเป็นรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพและ "ศิวิไลซ์"
จุดที่ทำให้ธรรมเนียมมหรสพสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการคือรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นยุคที่สยามกำลังเร่งสร้างภาพลักษณ์ความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่อย่างเต็มที่
ความเปลี่ยนแปลงนี้เพิ่มมากขึ้นในงานพระบรมศพสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และถึงจุดสูงสุดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หลักฐานทางประวัติศาสตร์สำคัญ คือ การมี ประกาศงดการแสดงมหรสพสมโภชในงานออกพระเมรุ ซึ่งการงดนี้ถูกศึกษาและกลายเป็นแบบแผนที่เข้มงวดในเวลาต่อมา
นี่คือจุดสิ้นสุดอย่างเป็นทางการของธรรมเนียมรื่นเริงแบบดั้งเดิม เหตุผลเบื้องหลังการงดมหรสพนี้คือความพยายามในการสร้าง State Decorum (ความสง่างามแห่งรัฐ) ตามแบบแผนของราชสำนักยุโรป
ซึ่งมองว่าพิธีศพของประมุขแห่งรัฐจะต้องแสดงออกถึงความเคารพสูงสุดผ่านความเคร่งขรึมและสงบเงียบ ไม่ใช่การเฉลิมฉลองที่อาจถูกมองว่าไร้ระเบียบ ตามสายตาของมหาอำนาจตะวันตก การกระทำนี้จึงเป็นการเปลี่ยนสถานะงานพระเมรุจาก "งานรื่นเริงของราษฎร์" ที่เต็มไปด้วยคติความเชื่อพื้นถิ่น ไปสู่ "พิธีการของรัฐ" ที่ต้องมีระเบียบวินัยและความสงบตามมาตรฐานโลกตะวันตกอย่างสมบูรณ์
การสร้างพระเมรุมาศเป็น "การประกาศความมั่นคงของบ้านเมือง" ดังที่นางเด่นดาว ศิลปานนท์ ได้กล่าวไว้ แต่ในยุครัชกาลที่ 6 "ความมั่นคง" ถูกนิยามใหม่ให้รวมถึงการแสดงออกซึ่งความเป็นสมัยใหม่ (Modernity) ซึ่งต้องมีระเบียบวินัยและความสงบตามมาตรฐานโลกตะวันตกด้วย ทำให้การเลิกมหรสพเป็นเรื่องจำเป็นทางการเมืองระหว่างประเทศ
การยกเลิกมหรสพที่สั่งสมมาแต่โบราณทำให้เกิด "ช่องว่างทางวัฒนธรรม" ที่ยาวนาน งานพระเมรุยุคหลังจึงมีบรรยากาศที่โศกเศร้าและเงียบขรึมอย่างแท้จริง จนกระทั่งมีการรื้อฟื้นประเพณีอย่างระมัดระวังในยุคปัจจุบัน
การงดมหรสพทำให้บรรยากาศในงานพระเมรุเป็นไปอย่างเงียบขรึมและสงบเงียบตามวัตถุประสงค์ที่รัฐต้องการ แม้แต่ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เมื่อปี พ.ศ. 2528 ก็จัดขึ้นอย่างเงียบเหงา
งานวิจัยของ เชิดชัย ขาหวาน ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของพระราชพิธีพระบรมศพและงานพระเมรุมาศ ได้แสดงให้เห็นว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ 6 จนถึงปี 2560 นั้น ได้กลายมาเป็นแบบแผนในพระราชพิธีพระบรมศพในปัจจุบัน งานพระเมรุในช่วงนี้จึงเป็นพิธีที่ถูกจัดภายใต้กรอบของรัฐชาติสมัยใหม่ (Modern State Ritual) อย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม การสูญเสียองค์ประกอบทางวัฒนธรรมดั้งเดิมไปทั้งหมดก็ทำให้เกิดความตระหนักถึงความจำเป็นในการรักษามรดกทางประเพณีไว้
ความพยายามในการนำองค์ประกอบทางวัฒนธรรมกลับมาเริ่มขึ้นในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พ.ศ. 2539)
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการรื้อฟื้นการประโคมดนตรี หรือการประโคมย่ำยาม และการมหรสพบางส่วน เนื่องจากทรงเห็นว่า "เพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเหงา" เหมือนครั้งก่อน 2 ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรักษาโบราณราชประเพณีไว้ด้วย
มหรสพที่ถูกนำกลับมาใหม่นี้ (เช่น โขนหน้าไฟในงานพระเมรุมาศ รัชกาลที่ 9) ไม่ได้กลับมาในรูปแบบ "รื่นเริงเฮฮา" ตามคติ งันเฮือนดี แต่ถูกจัดวางอย่างเคร่งครัด มีระเบียบวินัย และเป็นส่วนหนึ่งของการถวายพระเกียรติยศสูงสุดผ่านศิลปวัฒนธรรม (Cultural State Offering) เช่น การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดพระรามข้ามสมุทร-ยกรบ
การฟื้นฟูนี้เป็นการประนีประนอมที่ชาญฉลาด รักษาความสง่างามแบบตะวันตก แต่ผนวกแก่นสารของวัฒนธรรมดั้งเดิมกลับเข้าไปในฐานะศิลปะชั้นสูงเพื่อถวายพระเกียรติ
แม้ว่าบรรยากาศโดยรวมในปัจจุบันจะยังคงเป็นไปอย่างสงบสงัด แต่กระบวนการพระราชพิธีในยุคหลังได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดและท่วมท้น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่แตกต่างจากงานพระบรมศพในอดีต
การที่ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่ามีส่วนร่วมอย่างท่วมท้นในการถวายความอาลัย เช่น การเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ แสดงให้เห็นว่า แม้ความรื่นเริงแบบเดิมจะหายไป แต่ความผูกพันทางใจระหว่างสถาบันกับประชาชนยังคงแข็งแกร่ง การจัดพิธีที่ยิ่งใหญ่และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมครั้งสุดท้ายนี้ จึงเป็นความสำเร็จในการผนวกความสง่างามของรัฐชาติเข้ากับความผูกพันทางใจของประชาชน
งานพระเมรุมาศจึงเป็นกระจกที่สะท้อนการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของสังคมไทย การที่งานศพเปลี่ยนจากมหรสพรื่นเริงสู่ความเงียบขรึมนั้น ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่เป็นผลมาจากความพยายามของชนชั้นนำในการสร้าง "ความเป็นสมัยใหม่" และ "ความเป็นรัฐชาติ" เพื่อแสดงความเท่าเทียมกับมหาอำนาจตะวันตกในทุกมิติของพิธีการ
การประกาศงดมหรสพในสมัยรัชกาลที่ 6 ถือเป็นการเปลี่ยนหลักการจากคติความเชื่อเรื่องการเรียกขวัญและปาร์ตี้ออกทุกข์แบบอุษาคเนย์ ไปสู่จริยวัตรความสง่างามของรัฐแบบยุโรปอย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม การรื้อฟื้นประเพณีบางส่วนในยุคหลัง (หลัง พ.ศ. 2539) ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการประนีประนอม เพื่อรักษาแก่นสารทางวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้
ดังนั้น งานพระเมรุในปัจจุบันจึงเป็นบทสรุปของ การผนวกรวมความเชื่อเรื่องเทวราชา (เขาพระสุเมรุ) เข้ากับแนวคิดความทันสมัยและความมีระเบียบวินัยของรัฐชาติสมัยใหม่ เป็นมรดกทางพิธีกรรมที่ยังคงสืบทอดความยิ่งใหญ่และความสง่างามไว้ได้อย่างลงตัว
อ้างอิง
TheMatter / PP / SPRiNG / King9 / สุจิตต์ วงษ์เทศ / Lew / Thai / Stand / IR / Dailly / Publica /