
SHORT CUT
อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่รับน้ำตามนโยบายรัฐเพื่อป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจและกรุงเทพฯ ส่งผลให้ต้องเผชิญปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากและยาวนาน ชาวบ้านได้รับเพียง "เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย" ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเสียหายที่เกิดจากการเสียสละวิถีชีวิต
ในฐานะที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มักจะถูกกล่าวถึงในช่วงฤดูน้ำหลากของทุกปีในฐานะ 'ทุ่งรับน้ำ' การประสบกับภาวะน้ำท่วมไม่ได้เป็นเพียงภัยพิบัติทางธรรมชาติอีกต่อไป แต่กลายเป็นผลลัพธ์โดยตรงจากการบริหารจัดการน้ำของรัฐเพื่อปกป้องพื้นที่เศรษฐกิจและกรุงเทพฯ
คำถามสำคัญที่ถูกตั้งขึ้นมาเสมอคือ หากการท่วมซ้ำซากเป็นความตั้งใจตามแผนการบริหารจัดการน้ำของประเทศ ประชาชนชาวบางบาลควรได้รับเพียงแค่ 'เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย' หรือสมควรได้รับ 'ค่าชดเชย' อย่างเป็นธรรมสำหรับการเสียสละวิถีชีวิตของตนเอง
อำเภอบางบาลถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่รับน้ำนอง (แก้มลิง) อย่างเป็นทางการตามมติคณะรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2555 หลังวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เป้าหมายหลักของการกำหนดให้บางบาลเป็นทุ่งรับน้ำคือ เพื่อกักเก็บยอดน้ำหลากและลดระดับความรุนแรงของน้ำท่วมในพื้นที่ชุมชนตามแนวริมน้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
การเป็นพื้นที่รับน้ำนองนี้มาพร้อมกับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น โครงการขุดคลองระบายน้ำบางบาล-บางไทร วงเงินงบประมาณ 25,400 ล้านบาท (ระยะเวลาดำเนินการ 2562-2569) โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำให้รวดเร็วขึ้น เพื่อบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาและพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง อย่างไรก็ตาม แม้จะมีโครงการเหล่านี้ แต่ชาวบางบาลยังคงต้องเผชิญกับน้ำท่วมที่สูงกว่าและยาวนานกว่าในอดีต
จากสถิติที่รวบรวมโดยคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติพบว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565-2567) อำเภอบางบาลประสบปัญหาน้ำท่วมติดต่อกันยาวนานถึง 5 เดือน ในปี 2565 และ 2567 ซึ่งนานกว่าในอดีตมาก ที่น้ำจะท่วมเฉลี่ยเพียง 10-15 วัน บางพื้นที่น้ำท่วมสูงถึง 2-3 เมตร
ประเด็นที่สร้างคำถามมากที่สุดคือเรื่องเงินช่วยเหลือและชดเชย
ตัวอย่างเช่น เงินช่วยเหลือสำหรับผู้ประสบอุทกภัยตามมติคณะรัฐมนตรี (งบฯ กลาง) ในปี 2567 เป็นอัตราเดียวคือ 9,000 บาทต่อครัวเรือน ไม่ว่าจะท่วมนานเพียงใด (แม้จะท่วมนาน 5 เดือน) ซึ่งชาวบ้านได้เคยสะท้อนว่า เงิน 9,000 บาทนี้ไม่เพียงพอต่อการซ่อมแซมบ้าน
เงินช่วยเหลือด้านการดำรงชีพสำหรับการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยที่เสียหายทั้งหลังสูงสุดไม่เกิน 49,500 บาท
จะเห็นได้ว่า การที่บางบาลถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่รับน้ำ คือการตัดสินใจเชิงนโยบายที่คาดการณ์ผลกระทบได้ล่วงหน้า แต่กลับมีการจ่ายเงินช่วยเหลือแบบเดียวกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นโดยฉุกเฉิน
ก่อนหน้านี้ ผลการศึกษาจากโครงการนำร่องฯ แก้มลิงบางบาล เคยเสนอว่า ควรจะจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 37.21 ล้านบาทต่อปี ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบหลายร้อยครัวเรือน ทั้งที่อยู่อาศัย เกษตรกรรม และการประกอบการอื่นๆ แต่แนวทางนี้ไม่ถูกนำไปปฏิบัติ
แม้ว่าการผันน้ำเข้าท่วมทรัพย์สินของประชาชนจะอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ. 2485 แต่ในปัจจุบันมีกฎหมายและกฎกระทรวงที่กำหนดให้รัฐต้องจ่ายค่าชดเชยความเสียหายจากการดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
กฎกระทรวงเหล่านี้กำหนดให้มี "ค่าชดเชยความเสียหาย" ที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินของบุคคลอันเนื่องมาจากการดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำท่วม
คำถามสำคัญคือ แม้กฎกระทรวงเหล่านี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 แล้ว แต่จากการสำรวจเบื้องต้นยังไม่พบว่ามีการนำกฎหมายเหล่านี้มาใช้ในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะในกรณีของทุ่งรับน้ำบางบาลและทุ่งรับน้ำอื่นๆ ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
ชาวบางบาลต้องยอมแลกวิถีชีวิตปกติของตนเองเพื่อให้คนปลายน้ำสามารถดำเนินชีวิตได้ปกติ พวกเขาต้องเผชิญกับน้ำท่วมที่คาดการณ์ได้และเป็นไปตามแผนของรัฐ การที่พวกเขาได้รับเพียงเงินช่วยเหลือภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ซึ่งมีอัตราการจ่ายที่ไม่แตกต่างกันมากนักกับการท่วมเพียง 30 วัน จึงสร้างคำถามถึงความยุติธรรมและความเป็นธรรมในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ
หากการใช้พื้นที่บางบาลเป็นทุ่งรับน้ำเป็นมาตรการถาวรเชิงนโยบายเพื่อป้องกันภัยพิบัติในเมืองสำคัญ รัฐควรจะต้องมีมาตรการชดเชยที่สอดคล้องกับความเสียสละของประชาชน มากกว่าการจ่ายเงินบรรเทาความเดือดร้อนแบบครั้งคราวเท่านั้น การยอมรับสภาพน้ำท่วมซ้ำซากที่เกิดขึ้นภายใต้แผนงานของรัฐ จึงเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเทียม จนกว่ารัฐจะนำมาตรการชดเชยความเสียหายที่กฎหมายกำหนดไว้ออกมาใช้ปฏิบัติอย่างจริงจัง
ที่มา : rocketmedialab
ข่าวที่เกี่ยวข้อง