
สัจธรรมการเมืองไทย: ไม่มีอะไร “ตลอดไป” 'ชาติไทยพัฒนา' ในอ้อมกอดค่ายสีน้ำเงินในสถานการณ์ที่ พรรคสุพรรณไปต่อยาก
นโลกของการเมืองไทย คำว่า "ตลอดไป" ไม่มีอยู่จริง หากใครติดตามการเมืองไทยมานานกว่า 30 ปี ย่อมจดจำภาพความยิ่งใหญ่ของ "พรรคชาติไทย" ภายใต้การนำของ บรรหาร ศิลปอาชา ชายร่างเล็กเจ้าของฉายา "มังกรสุพรรณ" ผู้เปลี่ยนจังหวัดบ้านเกิดให้กลายเป็น "บรรหารบุรี" และก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของไทยได้สำเร็จ ในช่วงปี 2538 เหรือเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
แต่ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2568 สัจธรรมแห่งความไม่จีรังกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างโหดร้าย พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ซึ่งเป็นร่างอวตารของพรรคชาติไทย กำลังยืนอยู่บนทางแพร่งที่สำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ นั่นคือการ "สูญพันธุ์" ในฐานะพรรคอิสระ และการ "กลายพันธุ์" เพื่อความอยู่รอด
หากย้อนกลับไป พรรคชาติไทยพัฒนาไม่ได้เกิดขึ้นจากชัยชนะ แต่เกิดขึ้นจากวิกฤต ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 เพื่อเป็น "พรรคสำรอง" รองรับอุบัติเหตุทางการเมืองในช่วงเวลานั้น และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคชาติไทยในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน สมาชิกจึงย้ายถ่ายเทมาสู่บ้านหลังใหม่นี้
แม้จะรักษาฐานที่มั่นในสุพรรณบุรีไว้ได้ แต่ขนาดและอิทธิพลของพรรคกลับสวนทางกับกาลเวลา จากพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล กลายเป็นพรรคขนาดกลาง และท้ายที่สุดในการเลือกตั้ง 2 สมัยหลังสุด กลายเป็นเพียง "พรรคบ้านใหญ่ 3 จังหวัด" (สุพรรณบุรี, นครปฐม, ร้อยเอ็ด) ที่มี สส. เพียง 10 ที่นั่ง
"วัฏจักรทางการเมือง สัจธรรมทางการเมืองก็คือว่า ไม่มีอะไรที่อยู่ค้างฟ้า... ชีวิตคนเราหรือแม้แต่ในการเมือง มันไม่มีอะไรที่ยั่งยืน"
ความแตกต่างของสองยุคสมัยคือปัจจัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้:
ยุคบรรหาร (ในนามชาติไทย) : ใช้โมเดล "หลงจู๊" ผสมผสานบารมี การจัดการผลประโยชน์ และความเป็นพี่น้อง ดึง 4 ตระกูลใหญ่ในสุพรรณฯ (ศิลปอาชา, โพธสุธน, ประเสริฐสุวรรณ, เที่ยงธรรม) ให้เป็นหนึ่งเดียวได้นานกว่า 2 ทศวรรษ
ยุควราวุธ: เติบโตมาในยุคที่พ่อสร้างทุกอย่างไว้แล้ว เป็นนักเรียนนอก เป็นนักวิชาการมากกว่านักปกครอง "ลูกล่อลูกชน" อาจจะน้อยกว่าในยุคพ่อบรรหาร ในการดูแลมุ้งการเมืองแบบคนรุ่นเก่า ทำให้ความผูกพันในระบบ "บ้านใหญ่" เริ่มคลายตัว
ในทางการเมือง ตัวเลขคือพระเจ้า เมื่อมี สส. เพียง 10 คน อำนาจต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีจึงริบหรี่ การดำรงอยู่ของพรรคชาติไทยพัฒนาในปัจจุบันแขวนอยู่บนเส้นด้ายของ "กลุ่มบ้านใหญ่นครปฐม" (ตระกูลสะสมทรัพย์) หากกลุ่มนี้ถอนตัว พรรคจะเหลือ สส. เพียงหยิบมือ และไม่สามารถดำรงสถานะพรรคการเมืองที่มีบทบาทระดับชาติได้อีกต่อไป
พรรคภูมิใจไทย (ค่ายสีน้ำเงิน) จึงกลายเป็นคำตอบสุดท้าย ด้วยเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์
ความสัมพันธ์ศิษย์-อาจารย์: เนวิน ชิดชอบ "ครูใหญ่" แห่งภูมิใจไทย คืออดีตศิษย์ก้นกุฏิที่เรียนรู้วิชาการเมืองมาจากบรรหาร การที่วราวุธจะพาพรรคไปอยู่ใต้ร่มเงาเนวิน จึงเปรียบเสมือนการกลับไปหาศิษย์ผู้พี่ที่ประสบความสำเร็จกว่า
ความอยู่รอดของ สส.: การย้ายไปสังกัดพรรคใหญ่ที่มีทรัพยากรพร้อมสรรพ ย่อมการันตีโอกาสชนะเลือกตั้งในสมัยหน้าได้มากกว่าการดันทุรังอยู่พรรคเล็กที่กระสุนดินดำร่อยหรอ
กรณีของ จองชัย เที่ยงธรรม ที่เคยย้ายไปภูมิใจไทยในปี 2562 แล้วพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งสุพรรณบุรี สะท้อนให้เห็นว่า "แบรนด์ชาติไทย"ในพื้นที่นั้นแข็งแกร่งมาก คนสุพรรณฯ เลือกพรรคเพราะรู้สึกว่าเป็น "สมบัติของจังหวัด" ไม่ใช่สมบัติของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง
ทว่า ในปี 2568 บริบทได้เปลี่ยนไป การที่ วราวุธ ตัดสินใจจะนำ สส. ทั้ง 10 ชีวิต ย้ายเข้าสังกัดภูมิใจไทย (ตามรายงานข่าวที่จะมีการเปิดตัว 23 พ.ย. 2568 นี้) คือการเดิมพันครั้งสุดท้าย
เขาต้องเลือกระหว่างการรักษา "ชื่อพรรค" ไว้แต่ไร้อำนาจ หรือ ยอมสลาย "หัวโขน" เพื่อรักษา "ตัวเล่น" (สส.) ให้ยังคงอยู่ในวงจรอำนาจรัฐ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคชาติไทยพัฒนา เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ที่เคยแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาแก่คนสุพรรณฯ มายาวนาน แต่เมื่อรากแก้ว (บรรหาร) จากไป และสภาพดินฟ้าอากาศ (กติกาการเมือง/รัฐธรรมนูญ) เปลี่ยนแปลง ต้นไม้ต้นเดิมไม่สามารถยืนต้นต้านทานพายุได้เพียงลำพังอีกต่อไป
การยอมย้ายกิ่งก้านที่เหลือไปเสียบยอด กับต้นไม้ที่ใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่าอย่าง "ภูมิใจไทย" อาจดูเหมือนความพ่ายแพ้ในเชิงอุดมการณ์รักบ้านเกิด แต่ในมุมมองของสัจธรรมทางการเมืองไทย... นี่คือวิถีทางเดียวที่จะทำให้ "เผ่าพันธุ์" ทางการเมืองนั้นยังคงมีลมหายใจต่อไปได้ แม้จะต้องเปลี่ยนชื่อแซ่ก็ตาม
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ ชาติไทยพัฒนา เป็นอีกครั้ง ย้ำเตือนนักการเมืองทุกคนว่า อำนาจไม่เคยจีรัง และไม่มีใครเป็นเจ้าของประชาชนได้อย่างแท้จริง