
SHORT CUT
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินน้ำท่วมภาคใต้กระทบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท สงขลาอ่วมสุดฉุดภาคบริการ-อุตสาหกรรม หวั่นกระทบ GDP 0.13%
สถานการณ์อุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบหลายปีของจังหวัดสงขลาและพื้นที่ต่อเนื่องในภาคใต้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
ครอบคลุมพื้นที่วิกฤตในจังหวัดนครศรีธรรมราช, พัทลุง, สุราษฎร์ธานี, นราธิวาส, ปัตตานี, ตรัง, สตูล และยะลา ล่าสุดส่งผลกระทบต่อประชาชนแล้วกว่า 800,000 ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตรเสียหายกว่า 400,000 ไร่
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจเบื้องต้นจากเหตุการณ์นี้ โดยคาดว่าจะมีมูลค่าความเสียหาย ไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท ภายในกรอบเวลา 1 เดือน หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 0.13% ของ GDP ประเทศไทย โดยตัวเลขนี้ประเมินบนสมมติฐานความรุนแรงในช่วง 10-15 วันแรก และสถานการณ์ทยอยคลี่คลายใน 10-15 วันถัดมา
จังหวัดสงขลาถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ได้รับผลกระทบสูงสุด เนื่องจากเกิดอุทกภัยในแทบทุกพื้นที่ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักทันที โดยโครงสร้างเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบแบ่งเป็น
ความน่ากังวลพิเศษของวิกฤตครั้งนี้ คือช่วงเวลาที่เกิดเหตุตรงกับปลายปีซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจควรจะคึกคัก นอกจากนี้ สงขลายังเป็นหนึ่งในพื้นที่หลักในการเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ (9-20 ธ.ค. 2568) ซึ่งสถานการณ์น้ำท่วมอาจส่งผลกระทบต่อการเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน
นอกจากผลกระทบระยะสั้นจากการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจแล้ว ยังมีความเสียหายส่วนที่ 2 ที่ซับซ้อนกว่า คือ "ความเสียหายต่อสินทรัพย์" ทั้งอาคารบ้านเรือน รถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งการฟื้นฟูจะต้องใช้เวลาและเม็ดเงินจำนวนมาก ขึ้นอยู่กับเงินออมของครัวเรือนและความช่วยเหลือจากภาครัฐและสถาบันการเงินในอนาคต
น้ำท่วมภาคใต้ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติชั่วคราว แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลต้องเร่งถอดบทเรียน เพื่อเปลี่ยนจากการ "เยียวยาตามหลัง" มาเป็นการ "ป้องกันล่วงหน้า" ก่อนที่มูลค่าความเสียหายจะสูงเกินกว่าที่ GDP ของภาคใต้จะแบกรับไหว
ตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท จากการประเมินของศูนย์วิจัยกสิกรไทย อาจเป็นเพียง "ยอดภูเขาน้ำแข็ง" ของวิกฤตครั้งนี้ เพราะสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำคือผลกระทบเชิงโครงสร้างที่อาจส่งผลยาวนานกว่าช่วงน้ำลด
"สงขลา" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจภาคใต้ตอนล่าง กลับกลายเป็นพื้นที่รับน้ำหลัก การที่ภาคบริการและอุตสาหกรรมเสียหายหนักกว่า 70% ของความเสียหายรวม สะท้อนให้เห็นว่า
ระบบโครงสร้างพื้นฐานและการจัดการน้ำของเมืองเศรษฐกิจหลัก ยังไม่พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่รุนแรงขึ้น หากไม่มีการวางแผนระยะยาว ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้อาจสั่นคลอน
ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือ "ช่วงหลังน้ำลด" ประชาชนต้องเจอกับ Double Shock คือ "รายได้หาย" (จากการหยุดงาน/ปิดกิจการ) บวกกับ "รายจ่ายเพิ่ม" (ค่าซ่อมแซมบ้าน/รถยนต์) มาตรการเยียวยาแบบแจกเงินเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
รัฐบาลและสถาบันการเงินจำเป็นต้องมองถึงมาตรการ "พักหนี้" หรือ "สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษ" ที่เข้าถึงได้จริงและรวดเร็ว เพื่อประคอง SME และครัวเรือนไม่ให้ล้มละลายทางเครดิต
การที่สงขลาจะเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ในปลายปีหน้า เหตุการณ์นี้เปรียบเสมือน "Stress Test" ครั้งใหญ่ของจังหวัด การฟื้นฟูสภาพเมืองและระบบสาธารณูปโภคให้กลับมาสมบูรณ์โดยเร็ว ไม่ใช่แค่เพื่อคนในพื้นที่ แต่ยังเป็นการกู้ "ภาพลักษณ์" และความพร้อมในสายตานานาชาติ หากการจัดการล่าช้า อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในการรองรับทัพนักกีฬาและนักท่องเที่ยวที่จะหลั่งไหลเข้ามาในปีหน้า
ที่มา : K Research