
SHORT CUT
ปี2568 นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่มีเรื่องให้น่าตื่นเต้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือเรื่องในแวดวงเศรษฐกิจ หลายคนบอกว่าเป็นปีทอง ทองคำไทย! ราคาพุ่งเฉียด7หมื่น และลุ้นปี’69 ไปต่อหรือค้างบนดอย?
ปี2568 นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่มีเรื่องให้น่าตื่นเต้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือเรื่องในแวดวงเศรษฐกิจ อย่างราคาทองคำที่พุ่งกันแบบสุดๆ จากการสำรวจพบว่า ราคาสูงสุดที่เคยมีการรายงานว่าราคาทองคำไทยพุ่งไปสูงสุดที่ 67,400 บาท ต่อบาททองคำ ในช่วงเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นราคาสูงสุดที่บันทึกไว้สำหรับทั้งปี 2568 ละราคาทองคำแท่งทะลุ 60,000+ บาท ส่วนเดือนเดือนกันยายน 2568 ราคาทะลุระดับ 59,000 บาท และราคาทองคำแท่ง 96.5% พุ่งทะยานผ่านระดับ 62,000 บาท
โดยเมื่อช่วงต้นปี2568 ที่ผ่านมาเดือนมกราคม 2568 ราคาสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 44,450 บาท และเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ราคาสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 45,650 บาท ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าราคาต้นปี และปลายปี2568 ราคาทองคำไทยมาไกลพอสมควร และแนวโน้มปี2569 ยังถูกจับตามองอย่างมากว่าราคาทองคำไทยมีโอกาสไปต่อได้อีก จากการที่หลายสำนักคาดการณ์ไว้
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ที่ผ่านมาราคาทองคำไทยพุ่งแรง มาจากหลายสาเหตุดังนี้
ปัจจัยดังกล่าวช่วยผลักดันให้ราคาทองคำทั่วโลกปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Fed อาจเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงกลางถึงปลายปี 2568 หรืออาจเร็วขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยการลดดอกเบี้ยจะส่งผลให้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง ทำให้ต้นทุนการถือครองทองคำลดลง และราคาทองคำที่ซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์ปรับตัวสูงขึ้น
ธนาคารกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) และกลุ่ม BRICS ยังคงเดินหน้าซื้อทองคำเข้าเป็นทุนสำรองอย่างต่อเนื่องในปริมาณที่สูงมาก เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ เช่น สงคราม ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หรือความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างมหาอำนาจ (เช่น สหรัฐฯ-จีน) ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ทองคำถูกมองเป็น สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) ที่นักลงทุนและธนาคารกลางแห่เข้าซื้อเมื่อเกิดวิกฤต
แม้เงินเฟ้อจะลดลง แต่ยังคงสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางหลายแห่ง และระดับหนี้สาธารณะในหลายประเทศยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ทองคำยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในฐานะ สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
ปัจจัยที่แปลงราคาทองคำโลก (ดอลลาร์สหรัฐฯ) ให้เป็นราคาในสกุลเงินบาท
อย่างไรก็ตามการพุ่งขึ้นของราคาทองคำไทยในปี 2568 มาจากการทำงานร่วมกันของแรงซื้อจากสถาบันขนาดใหญ่ทั่วโลก และความคาดหวังว่านโยบายดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะผ่อนคลายลงประกอบกับความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีอยู่สูง ทำให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ที่มั่นคงอย่างทองคำอย่างต่อเนื่อง
1. ความเสี่ยงจากการเข้าซื้อที่ราคาสูงสุด (Peak)
โอกาส "ติดดอย" เมื่อราคาปรับขึ้นแรงนักลงทุนอาจตื่นเต้นและรีบเข้าซื้อทันทีที่ราคาพุ่งสูง ทำให้ได้ต้นทุนที่สูงมาก และหากราคาทองคำมีการปรับฐานลง นักลงทุนก็จะมีโอกาส "ติดดอย" และต้องรอเป็นเวลานานกว่าราคาจะกลับมาที่เดิม
การขายทำกำไรของนักลงทุนอื่น: เมื่อราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) นักลงทุนที่ซื้อไว้ก่อนหน้านี้อาจตัดสินใจ ขายทำกำไร ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
2. ความผันผวนของค่าเงินบาท (บาท/ดอลลาร์)
ราคาทองคำในประเทศ (บาท/บาททองคำ) ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก
โดยในช่วงที่ราคาทองคำโลกขึ้น หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว จะส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศ ที่แปลงเป็นเงินบาท ถูกกดดันและอาจปรับขึ้นน้อยกว่าที่ควร หรืออาจปรับลดลงได้
3. การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินและเศรษฐกิจโลก
การปรับขึ้น/คงที่ของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ถ้า Fed มีแนวโน้ม ขึ้นดอกเบี้ย หรือส่งสัญญาณว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงนานกว่าที่คาดการณ์ จะทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่า และราคาทองคำโลกมักจะถูกกดดันให้ลดลง ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องระวัง
โดยความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์คลี่คลาย: ทองคำมักถูกมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) หากความขัดแย้ง/วิกฤตการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายลงอย่างกะทันหัน ความต้องการทองคำจะลดลงอย่างรวดเร็ว
4. การลงทุนเกินตัวและขาดวินัย
อย่าทุ่มเงินทั้งหมด ไม่ควรนำเงินที่ต้องใช้ในระยะสั้น หรือเงินก้อนใหญ่ทั้งหมดมาลงทุนในทองคำ ควรจัดสรรสัดส่วนการลงทุนทองคำที่เหมาะสม โดยทั่วไปแนะนำประมาณ 5%-15% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด) เพื่อกระจายความเสี่ยง
ทั้งนี้ขาดการกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) การลงทุนโดยไม่มีแผนที่ชัดเจน เมื่อราคาผันผวนอาจทำให้ตัดสินใจผิดพลาด เช่น ไม่ยอมขายเมื่อทำกำไรได้ หรือไม่ยอมตัดขาดทุนเมื่อราคาลง
เพื่อให้ลงทุนได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ควรพิจารณากลยุทธ์เหล่านี้
1.ใช้กลยุทธ์ทยอยซื้อ (Dollar Cost Averaging - DCA) หรือทยอยเข้าซื้อ (Pyramiding)
แทนที่จะซื้อทั้งหมดในครั้งเดียว ควรแบ่งเงินลงทุนเป็นหลายส่วน แล้วทยอยเข้าซื้อตามจังหวะที่ราคาอ่อนตัวลง เพื่อเฉลี่ยต้นทุนให้ต่ำลง และลดความเสี่ยงการเข้าซื้อที่ราคาสูงสุด
2.กำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน
3.ติดตามปัจจัยสำคัญอย่างใกล้ชิด
ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการตัดสินใจด้านอัตราดอกเบี้ยของ Fed, การเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ, และความผันผวนของค่าเงินบาท เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้ทันท่วงที
4.พิจารณาทางเลือกการลงทุนที่หลากหลาย
นอกจากการซื้อทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณแล้ว อาจพิจารณาการลงทุนผ่านกองทุนทองคำ (Gold Fund) หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX Gold Futures/Gold Online Futures) ที่มีสภาพคล่องสูงและไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บรักษา
ปี 2568 ได้จารึกประวัติศาสตร์การลงทุนทองคำของไทยไว้แล้ว ด้วยปรากฏการณ์ "ขาขึ้นอันร้อนแรง" ที่ทำให้นักลงทุนเข้าถึงจุดทำกำไรที่เหนือความคาดหมาย ปัจจัยหนุนหลักยังคงเป็นความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ และแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเข้าสู่ช่วงการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งถือเป็น "น้ำเลี้ยง" สำคัญที่ผลักดันให้ราคาทองคำโลกพุ่งสูง
ดังนั้นในปี 2569 คือปีที่นักลงทุนต้องผสมผสานความกล้ากับความระมัดระวังอย่างชาญฉลาด เพราะทุกสถิติสูงสุดย่อมมีโอกาสปรับฐาน นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จคือผู้ที่สามารถ "วิ่งตามกระแส" แต่พร้อมที่จะ "หลีกเลี่ยงพายุ" เสมอ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง