
SHORT CUT
"ภาษีสังคม" ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ผู้คนใช้จ่ายเกินตัวเพื่อสร้างและรักษาภาพลักษณ์ที่ดูดีให้เป็นที่ยอมรับ การยืนอยู่บน "ภาพลักษณ์" ในขณะที่ความจริงภายในเริ่มสั่นคลอน ย่อมนำไปสู่ความเจ็บปวดที่ต้องจ่ายคืนในที่สุด
จากเหตุการณ์จับกุมดาราที่มีชื่อเสียงในคดีฉ้อโกงที่กำลังเป็นข่าวใหญ่ ไม่ได้เป็นแค่ "คดีทั่วไป" แต่เป็นกระจกสะท้อนถึงความกดดันทางสังคมที่ผู้คนจำนวนมากกำลังเผชิญหน้าในโลกที่ทุกสิ่งวัดค่าด้วยภาพลักษณ์ภายนอก
ในยุคที่ความน่าเชื่อถือ ความหรูหรา และชีวิตที่ "ดูดี" กลายเป็นส่วนหนึ่งของงาน โดยเฉพาะในวงการที่มีผู้คนจับตามอง ภาพลักษณ์จึงมีความสำคัญไม่แพ้ความสามารถที่แท้จริง และนี่คือจุดเริ่มต้นของกับดักทางการเงินที่หลายคนก้าวเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
แรงกดดันที่บีบคั้นให้บุคคลต้องใช้จ่ายเกินตัวเพื่อรักษาหน้าตาทางสังคม มีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า "ภาษีสังคม"
มันคือค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้มาในรูปของบิล แต่เป็นสิ่งที่ต้องจ่ายเพื่อการเข้าสังคม การไปในสถานที่ที่เหมาะสม การเข้าร่วมกิจกรรมที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ รวมไปถึงการใช้สินค้าหรูหรา การใช้ชีวิตที่ต้องดูมั่นคงและประสบความสำเร็จ การทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้รู้สึกว่าตัวเอง "ด้อยกว่า" ใครในสายตาผู้อื่น
ยิ่งบุคคลนั้นอยู่ในสังคมที่มีการแข่งขันสูงและมีผู้คนจับจ้องมากเท่าใด "ภาษีสังคม" ก็ยิ่งแพงขึ้นเท่านั้น ผลักดันให้หลายคนต้องหันไป "หมุนเงิน" กู้เงิน หรือสร้างภาพลักษณ์ที่เกินจริงขึ้นมา เพื่อให้ยังคงยืนอยู่ในโลกที่ทุกอย่างต้องดูดีตลอดเวลา ซึ่งการกระทำเหล่านี้คือการสะสมปัญหาทางการเงินที่อาจนำไปสู่หายนะในที่สุด
โซเชียลมีเดียเป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่เร่งให้กระแสการอวดรวย กลายเป็นเทรนด์ที่ถูกกระตุ้นด้วยภาพชีวิตหรูหราของอินฟลูเอนเซอร์ ทำให้เกิดความฝันและความต้องการที่จะมีชีวิตแบบนั้นบ้าง
แต่ความจริงที่มักถูกซ่อนไว้คือ ชีวิตหรูหราบนโลกออนไลน์อาจเป็นเพียง "ภาพลวงตา" ที่ไม่ได้สะท้อนสถานการณ์ทางการเงินที่แท้จริงเสมอไป
หลายครั้งผู้ที่อวดรวยมากเกินไปกลับมีหนี้สินสูง หรือต้องใช้สินเชื่อจำนวนมากเพื่อรักษาภาพลักษณ์เหล่านั้นไว้ นำมาซึ่งความกดดันระยะยาว
จากมุมมองทางจิตวิทยา แรงผลักดันในการสร้างภาพเหล่านี้เกิดจากความกลัวที่ฝังลึกที่สุดของมนุษย์
การอวดรวยจึงกลายเป็นกลไกทางจิตวิทยาที่สะท้อนถึงความต้องการการยอมรับนี้ ผลักดันให้คนยอมใช้จ่ายเกินตัวเพื่อตามไลฟ์สไตล์ของคนอื่น
กรณีคดีฉ้อโกงดาราเป็นเครื่องเตือนใจที่เจ็บปวดว่า ไม่มีภาพลักษณ์ใดสามารถค้ำจุนชีวิตได้ตลอดไป หากไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริงและความพอดี
การยืนอยู่บน "ภาพลักษณ์" ในขณะที่ความจริงภายในเริ่มสั่นคลอน ย่อมนำไปสู่ความเจ็บปวดที่ต้องจ่ายคืนในที่สุด
เรากำลังให้ค่ากับภาพลักษณ์มากกว่าความจริงหรือไม่? เรากำลังสร้างความกดดันให้คนรอบข้างต้องจ่าย "ภาษีสังคม" เกินตัวหรือไม่?
สิ่งสำคัญของการแก้ปัญหา “ใช้เงินเกินตัว” คือต้องเข้าใจพฤติกรรมของตัวเองเพื่อนำมาปรับเปลี่ยนแนวคิดทางการเงิน โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางการเงินในวัยเกษียณ ซึ่งสามารถเริ่มต้นทำได้ด้วย 3 วิธีง่ายๆ ดังนี้
ความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการเป็นคนที่ "สังคมอยากเห็น" แต่มาจากการใช้ชีวิตเช่นคนที่เรา "เป็นจริงๆ" การอยู่ในระดับที่เราสามารถรับมือไหว ใช้จ่ายเท่าที่ทำได้ และสร้างรากฐานทางการเงินที่มั่นคง คือวิธีเดียวที่จะป้องกันไม่ให้ชีวิตต้องจ่ายค่าความเจ็บปวดที่สูงเกินไปในอนาคต