svasdssvasds

ถอดบทเรียน 'นานา ไรบีนา' ทำไม 'ยืมเงินเพื่อน' กลายเป็นคดีฉ้อโกง-แชร์ลูกโซ่

ถอดบทเรียน 'นานา ไรบีนา' ทำไม 'ยืมเงินเพื่อน' กลายเป็นคดีฉ้อโกง-แชร์ลูกโซ่

ถอดบทเรียนจากคดีนานา ไรบีนา ทำไม 'ยืมเงินเพื่อน' กลายเป็นฉ้อโกงประชาชน-แชร์ลูกโซ่ พฤติการณ์เป็นการกระทำในลักษณะอาศัยความเชื่อใจ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ผู้เสียหายหลายๆ คนตัดสินใจร่วมลงทุน

SHORT CUT

  • การยืมเงินจะกลายเป็นฉ้อโกงเมื่อผู้ขอยืมมีเจตนาทุจริตแต่แรก โดยใช้ความน่าเชื่อถือหลอกลวงว่าจะนำเงินไปลงทุนในธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง
  • คดีจะขยายเป็น "ฉ้อโกงประชาชน" และ "แชร์ลูกโซ่" เมื่อการหลอกลวงนั้นกระทำต่อคนจำนวนมาก (ตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป) และมีการโฆษณาหรือประกาศชักชวนเป็นการทั่วไป
  • เข้าข่ายความผิดแชร์ลูกโซ่ตาม พ.ร.ก. การกู้ยืมเงินฯ เมื่อมีการสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่สถาบันการเงินจะจ่ายได้ โดยไม่มีกิจการที่สามารถสร้างผลประโยชน์ได้จริงมารองรับ

ถอดบทเรียนจากคดีนานา ไรบีนา ทำไม 'ยืมเงินเพื่อน' กลายเป็นฉ้อโกงประชาชน-แชร์ลูกโซ่ พฤติการณ์เป็นการกระทำในลักษณะอาศัยความเชื่อใจ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ผู้เสียหายหลายๆ คนตัดสินใจร่วมลงทุน

จากกรณีที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ บก.ปอศ. ได้นำกำลังเข้าจับกุมนานา ไรบีนา อายุ 45 ปี ที่บ้านพักย่านพระโขนง ในข้อหาฉ้อโกง และความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินอันเป็นฉ้อโกงประชาชนหรือ 'แชร์ลูกโซ่'

สำหรับพฤติการณ์ข้อมูลจากตำรวจ มีผู้เสียหายประมาณ 17 ราย เมื่อประมาณปี 2565 นานาได้ชักชวนให้ผู้เสียหายให้ร่วมลงทุนทำธุรกิจต่างๆ แตกต่างกันออกไป

พฤติการณ์หลอกลวงชักชวนให้ลงทุน

  1. อ้างว่าปล่อยสินเชื่อเงินกู้ โดยให้ผลตอบแทนต่อเดือน 4 ถึง 7%
  2. กิจกรรมอุปโลกให้คนมาเทรดลงทุนหุ้น
  3. กิจกรรมทำธุรกิจสนามบาส
  4. กิจกรรมเปิดร้านอาหารในประเทศสหรัฐอเมริกา

โดยหลักๆ ของพฤติการณ์เป็นการกระทำในลักษณะอาศัยความเชื่อใจ ความน่าเชื่อถือในการประกอบ มีการแอบอ้างบางท่านที่อยู่ในแวดวงธุรกิจ อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ผู้เสียหายหลายๆ คนตัดสินใจร่วมลงทุน

ความหมายและพื้นฐานของการฉ้อโกง

การฉ้อโกงคืออะไร?

การฉ้อโกงในความหมายทั่วไป คือการหลอกลวงผู้อื่นโดยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอก เพื่อให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากบุคคลที่หลงเชื่อ โดยผู้กระทำมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก การฉ้อโกงสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ ตั้งแต่การหลอกลวงในชีวิตประจำวัน

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ได้ให้คำนิยามของการฉ้อโกงไว้ว่า "ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง"

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความผิดฐานฉ้อโกงในประเทศไทยได้ถูกบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา โดยมีมาตราสำคัญที่เกี่ยวข้องดังนี้

  • มาตรา 341 เป็นมาตราหลักที่กำหนดองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงพื้นฐาน กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยต้องมีองค์ประกอบครบถ้วนคือ การกระทำโดยทุจริต การหลอกลวง และการได้ไปซึ่งทรัพย์สิน
  • มาตรา 342 ระบุถึงการฉ้อโกงในกรณีที่ผู้กระทำแสดงตนเป็นคนอื่น มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมักพบในกรณีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือพนักงานธนาคาร
  • มาตรา 343 ว่าด้วยการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นการหลอกลวงประชาชนจำนวนมากให้หลงเชื่อเพื่อประโยชน์ทางการค้า มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 344 ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงบุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไปให้ประกอบการงานอย่างใด ๆ ให้แก่ตนหรือให้แก่บุคคลที่สาม โดยจะไม่ใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้น หรือโดยจะใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้นต่ำกว่าที่ตกลงกัน มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

พ.ร.ก.กู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน คืออะไร

พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 (พ.ร.ก. กู้ยืมเงินฉ้อโกงประชาชน) เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินที่เป็นการหลอกลวงประชาชนในวงกว้าง โดยมีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการกระทำที่เป็นการเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และการกำหนดบทลงโทษที่หนักกว่าความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาปกติ

การกระทำที่เข้าข่ายความผิด 

การกระทำที่ต้องได้รับโทษตาม พ.ร.ก. นี้ คือ ผู้ใดกระทำการกู้ยืมเงินหรือจะกู้ยืมเงิน 

  • โฆษณาต่อสาธารณะ: มีการโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไป หรือโดยการแพร่ข่าวด้วยวิธีอื่นใด 
  • สัญญาว่าจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทน: สัญญาว่าจะจ่ายหรืออาจจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ให้กู้ยืมเงินในอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้ และ
  • ไม่มีความสามารถจะประกอบกิจการ: มีพฤติการณ์ว่า จะนำหรือได้นำเงินไปใช้ในการประกอบกิจการใดๆ โดยไม่ปรากฏว่าสามารถจะประกอบกิจการนั้นได้ หรือ ไม่ปรากฏว่าจะได้รับประโยชน์จากกิจการที่ทำในลักษณะที่เสี่ยงต่อการไม่สามารถตอบแทนผลประโยชน์ตามที่ตกลงไว้

เป็นเหตุให้บุคคลตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ต้องเสียเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้

บทลงโทษ

ผู้กระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 500,000 บาทถึง 1,000,000 บาท และปรับอีกไม่เกินสองเท่าของจำนวนเงินที่กู้ยืม

หากความเสียหายรุนแรง: ถ้าเป็นเหตุให้บุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ต้องเสียเงิน/ทรัพย์สิน ตั้งแต่ สิบล้านบาทขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในวรรคก่อนกึ่งหนึ่ง หรือจำคุกตลอดชีวิต

ที่มา : กระทรวงยุติธรรม Ministry Of Justice, Thailand  

related