
SHORT CUT
ถอดบทเรียนจากคดีนานา ไรบีนา ทำไม 'ยืมเงินเพื่อน' กลายเป็นฉ้อโกงประชาชน-แชร์ลูกโซ่ พฤติการณ์เป็นการกระทำในลักษณะอาศัยความเชื่อใจ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ผู้เสียหายหลายๆ คนตัดสินใจร่วมลงทุน
จากกรณีที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ บก.ปอศ. ได้นำกำลังเข้าจับกุมนานา ไรบีนา อายุ 45 ปี ที่บ้านพักย่านพระโขนง ในข้อหาฉ้อโกง และความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินอันเป็นฉ้อโกงประชาชนหรือ 'แชร์ลูกโซ่'
สำหรับพฤติการณ์ข้อมูลจากตำรวจ มีผู้เสียหายประมาณ 17 ราย เมื่อประมาณปี 2565 นานาได้ชักชวนให้ผู้เสียหายให้ร่วมลงทุนทำธุรกิจต่างๆ แตกต่างกันออกไป
โดยหลักๆ ของพฤติการณ์เป็นการกระทำในลักษณะอาศัยความเชื่อใจ ความน่าเชื่อถือในการประกอบ มีการแอบอ้างบางท่านที่อยู่ในแวดวงธุรกิจ อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ผู้เสียหายหลายๆ คนตัดสินใจร่วมลงทุน
การฉ้อโกงในความหมายทั่วไป คือการหลอกลวงผู้อื่นโดยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอก เพื่อให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากบุคคลที่หลงเชื่อ โดยผู้กระทำมีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก การฉ้อโกงสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ ตั้งแต่การหลอกลวงในชีวิตประจำวัน
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ได้ให้คำนิยามของการฉ้อโกงไว้ว่า "ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง"
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความผิดฐานฉ้อโกงในประเทศไทยได้ถูกบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา โดยมีมาตราสำคัญที่เกี่ยวข้องดังนี้
พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 (พ.ร.ก. กู้ยืมเงินฉ้อโกงประชาชน) เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินที่เป็นการหลอกลวงประชาชนในวงกว้าง โดยมีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการกระทำที่เป็นการเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และการกำหนดบทลงโทษที่หนักกว่าความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาปกติ
การกระทำที่ต้องได้รับโทษตาม พ.ร.ก. นี้ คือ ผู้ใดกระทำการกู้ยืมเงินหรือจะกู้ยืมเงิน
เป็นเหตุให้บุคคลตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ต้องเสียเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
ผู้กระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 500,000 บาทถึง 1,000,000 บาท และปรับอีกไม่เกินสองเท่าของจำนวนเงินที่กู้ยืม
หากความเสียหายรุนแรง: ถ้าเป็นเหตุให้บุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ต้องเสียเงิน/ทรัพย์สิน ตั้งแต่ สิบล้านบาทขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในวรรคก่อนกึ่งหนึ่ง หรือจำคุกตลอดชีวิต