
SHORT CUT
เปิดสาเหตุทำไมทหารไทยสูญเสียหนักบริเวณ "อานม้า-เนิน 677" การสู้รบเข้าสู่ระยะที่ 2 ซึ่งเป็นการใช้ทหารราบเข้ายึดพื้นที่ยุทธศาสตร์ ทำให้เกิดการปะทะโดยตรงและเพิ่มความเสี่ยงในการสูญเสียกำลังพล
สถานการณ์การสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชาดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีวี่แววว่าจะลดดีกรีความรุนแรง จากเหตุปะทะบริเวณเนิน 677 ช่องอานม้า กำลังพลถูกสะเก็ดระเบิดเสียชีวิต 4 นาย ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย
ส่วนรายงานความสูญเสียของทหารไทยที่มีมากขึ้น และบ่อยครั้งขึ้น ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า กองทัพกำลังเพลี่ยงพล้ำหรือไม่นั้น จากรายงานของเนชั่นทีวีได้รับคำยืนยันจากแหล่งข่าวระดับสูงของกองทัพบกว่า เป็นภาวะปกติของสงคราม ซึ่งเข้าสู่ระยะที่ 2 คือการใช้ "ทหารราบ" เข้ายึดพื้นที่ยุทธศาสตร์
โดยการสู้รบระยะที่ 2 นี้ เป็นผลจากความสำเร็จของการสู้รบระยะแรก ซึ่งฝ่ายไทยได้เปรียบกัมพูชาเกือบทุกสมรภูมิ สามารถเข้าควบคุมจุดยุทธศาสตร์ได้เกือบทุกจุด รวมทั้งจุดที่กัมพูชาเคยรุกเข้าไป และครอบครองอยู่เป็นเวลานานด้วย
ฉะนั้นเมื่อการสู้รบผ่านระยะแรกไปแล้ว คือ ฝ่ายไทยไล่หรือกดดันทหารกัมพูชาพ้นจุดยุทธศาสตร์ไปได้ ก็ต้องส่งทหารราบเข้ายึดอย่างเบ็ดเสร็จ และเร่งวางระบบป้องกัน
แต่การวางระบบป้องกัน รวมถึงการสร้างฐานที่มั่นให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการถูกโต้กลับต้องใช้เวลา หลายพื้นที่ยังทำไม่ทัน หรือไม่สมบูรณ์ แต่ฝ่ายกัมพูชารู้พิกัดจุดยุทธศาสตร์เหล่านั้น เพราะเคยยึดมาก่อน จึงโจมตีกลับได้ง่าย และสร้างความสูญเสียได้มาก แต่ทุกจุดยังไม่สามารถยึดกลับไปได้
แหล่งข่าวระดับสูงจากกองทัพบก ยืนยันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติของสงคราม โดยฝ่ายเรารู้และคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว เพียงแต่จุดยุทธศาสตร์ที่ไทยยึดได้ เป็นจุดที่ฝ่ายกัมพูชาก็ต้องการเช่นกัน ฉะนั้นเมื่อสูญเสียให้ไทย ก็ต้องระดมกำลังหวังยึดกลับคืน จึงต้องใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยเฉพาะเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ซึ่งนำมาใช้มากที่สุดในช่วงนี้ และระดมยิงไม่ยั้ง
เมื่อมีความสูญเสียของกำลังพลเกิดขึ้นต่อเนื่อง ก็เริ่มมีเสียงทักท้วงจากนักการทหาร ทั้งที่เป็นทหารจริงๆ และเป็นนักวิชาการว่า กองทัพต้องระวัง อย่าเปิดการสู้รบตามกระแส โดยมุ่งจะหักเอาให้ได้โดยไม่ห่วงความสูญเสียของกำลังพล เพราะการรบตามพื้นที่ชายแดน ไม่เหมือนการสงครามเต็มรูปแบบ เพราะไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบทุกจุด 100%
ที่สำคัญ การช่วงชิงจุดยุทธศาสตร์ตามแนวชายแดนนั้น การที่ไทยมีอาวุธทันสมัยกว่า ไม่ได้เป็น “ตัวช่วย” หรือทำให้ได้เปรียบมาก เพราะการสู้รบตามแนวชายแดนเป็นเรื่องความเชี่ยวชาญพื้นที่ การชิงความได้เปรียบจากภูมิประเทศมากกว่า ซึ่งทหารกัมพูชาฝังตัวในพื้นที่เหล่านี้มานาน และบางส่วนเป็น ”ทหารบ้าน“
ฉะนั้นล่าสุดจึงเริ่มมีเสียงเตือนให้กองทัพเปิดปฏิบัติการอย่างรอบคอบ ไม่เร่งรีบเหมือนแข่งกับเวลามากเกินไป พูดง่ายๆ คือ ”ช้าแต่ชัวร์“ ดีกว่า เพื่อลดความสูญเสีย
วันที่ 15 ธ.ค. 2568 เวลา 12.30 น. พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยว่า ได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 เกี่ยวกับสถานการณ์การสู้รบว่า ปัจจุบันสามารถผลักดันทหารกัมพูชาออกจากบริเวณพื้นที่
“ตัวปราสาทตาควาย” และเข้าควบคุมพื้นที่ได้แล้ว ขณะที่ที่หมายสำคัญโดยรอบ โดยเฉพาะเนิน 350 และพื้นที่สูงข่มในบริเวณใกล้เคียง ยังคงอยู่ระหว่างการปฏิบัติการเข้าควบคุมพื้นที่ตามแผนดำเนินกลยุทธ์
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชาได้ตอบโต้ด้วยการใช้อาวุธทุกชนิดระดมโจมตีพื้นที่ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งทำลายกำลังฝ่ายไทยและพยายามช่วงชิงพื้นที่คืน ทำให้สถานการณ์ยังไม่อาจวางใจได้ และยังต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงในการปฏิบัติการ
ที่มา : เนชั่นทีวี