
SHORT CUT
Digital-Detox Travel เทรนด์ท่องเที่ยวมาแรงปี 2025 เมื่อผู้คนเลือกวางโทรศัพท์ ปิดโลกออนไลน์ และออกเดินทางเพื่อพักใจ อยู่กับปัจจุบัน
แนวโน้มการท่องเที่ยวยุคใหม่ที่กำลังมาแรงอย่างชัดเจนในปี 2025 คือ “Digital-Detox Travel” เทรนด์ที่เกิดขึ้นจากความต้องการหลุดพ้นจากการเชื่อมต่อโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่องและกลับมาอยู่กับปัจจุบันและตัวเองให้มากขึ้น ผู้คนจำนวนมากเริ่มรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นการเช็กอีเมล ตอบข้อความ หรือไถโซเชียลมีเดีย ทุกวันจนแทบไม่มีเวลาหายใจ การเดินทางเพื่อดีท็อกซ์จากอุปกรณ์ดิจิทัลจึงกลายเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง
Digital-Detox Travel หมายถึงการเดินทางที่ตั้งใจจะลดหรือปิดการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัล เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมกับสถานที่ ผู้คน และประสบการณ์ตรง ๆ แทนที่จะมองผ่านหน้าจอหรือแชร์ลงโซเชียลมีเดียทันที
ในเชิงลึก การท่องเที่ยวแบบดิจิทัลดีท็อกซ์มีหลายระดับ ตั้งแต่การตัดขาดจากโลกออนไลน์อย่างสิ้นเชิง ไม่ใช้หรือปิดอุปกรณ์ดิจิทัลตลอดทั้งทริป ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีอย่างรู้ตัว เช่น กำหนดเวลาเช็กข้อความ หรือเลือกบันทึกความทรงจำด้วยการเขียนแทนการหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป แม้รูปแบบจะต่างกัน แต่เป้าหมายเหมือนกันคือ ลดสิ่งรบกวนจากหน้าจอ และเปิดโอกาสให้เราได้ใส่ใจกับสิ่งรอบตัวและประสบการณ์ตรงมากขึ้น
ที่สำคัญ การดีท็อกซ์ดิจิทัลไม่ได้หมายความว่าต้องเลิกใช้โทรศัพท์ไปตลอดชีวิต แต่คือการตั้งขอบเขตการใช้งานให้เหมาะสม เพื่อเปิดพื้นที่ให้เราได้จดจ่อกับสถานที่ที่ไปเยือน วิถีชีวิตของผู้คน หรือธรรมชาติรอบตัวอย่างเต็มที่ เพราะหลายครั้งการท่องเที่ยวก็สูญเสียความหมายไป เมื่อเรามัวแต่รับรู้ทุกอย่างผ่านหน้าจอมากกว่าการสัมผัสด้วยตัวเอง
ในยุคที่เราถูกกระตุ้นด้วยข้อความ อีเมล และการอัปเดตตลอดเวลา หลายคนเริ่มรู้สึกถึงอาการ “ความเหนื่อยล้าทางจอ” (screen fatigue) และต้องการเวลาพักจริง ๆ ไม่ใช่แค่เปลี่ยนสถานที่ทำงานหรือเปลี่ยนภาพพื้นหลังของเดสก์ท็อป ข้อมูลจากรายงานแนวโน้มการท่องเที่ยวปี 2025 ระบุว่าการเดินทางที่ไม่ตอบสนองต่อสัญญาณออนไลน์เป็นที่นิยมมากขึ้น โดยผู้เดินทางหลายคนเลือกที่จะปิดการเชื่อมต่อกับงานและชีวิตออนไลน์ขณะพักร้อน ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนความคิดจาก “ถ่ายรูปสวยลงโซเชียล” เป็น “อยู่กับโมเมนต์จริง ๆ ที่หน้าสถานที่” มากยิ่งขึ้น
อีกทั้งสภาพแวดล้อมการท่องเที่ยวทั่วโลกก็ปรับตัวรองรับแนวคิดนี้ เช่น รีสอร์ทและสถานที่พักที่ ไม่มี Wi-Fi หรือห้ามใช้โทรศัพท์ ตั้งแต่เช็กอินเพื่อสนับสนุนการปล่อยวางจากเทคโนโลยี และมีโปรแกรมกิจกรรมออฟไลน์ เช่น โยคะ เดินป่า เวิร์กช็อปศิลปะหรือกิจกรรมวัฒนธรรมท้องถิ่น ทำให้ผู้เข้าพักได้สำรวจสิ่งใหม่ ๆ และเติมเต็มการเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมจริง ๆ มากขึ้น
การดีท็อกซ์ดิจิทัลไม่เพียงแต่ช่วยให้เราหลีกหนีเสียงแจ้งเตือนและอีเมลที่ไม่หยุดนิ่งเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่ประโยชน์ที่จับต้องได้ เช่น:
อย่างไรก็ตาม การตัดขาดจากเทคโนโลยีอย่างสมบูรณ์อาจมีช่วงเวลาที่รู้สึก “ถอนตัว” หรืออยากกลับไปเช็กสิ่งต่าง ๆ เป็นธรรมดา ซึ่งนักเดินทางควรวางแผนตั้งแต่ก่อนเดินทาง เช่น แจ้งคนใกล้ชิดเกี่ยวกับขอบเขตการสื่อสาร หรือวางแผนกิจกรรมรองรับช่วงเวลาที่อาจรู้สึกเบื่อหรือไม่คุ้นเคย
ที่มา : hospitalityinsights
ข่าวที่เกี่ยวข้อง