
SHORT CUT
"กองทัพ" ย้ำ หยุดยิง ไม่ได้หยุดพร้อมรบ ดูแลความปลอดภัยประชาชน ไม่ให้ประเทศเสียเปรียบ 24 ชม. ขอใช้สติ รับมือข่าวสาร ด้านฮุน มาเนต ย้ำหยุดยิงไม่ใช่ พ่ายแพ้หรือแลกดินแดน
พลอากาศเอกประภาส สอนใจดี ผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ขอเรียนพี่น้องประชาชนชาวไทยว่า ภายหลังจากที่ฝ่ายไทยและกัมพูชาได้มีถ้อยแถลงร่วมฯ และดำเนินการตามกรอบความตกลงร่วมกันนั้น
รัฐบาลและกองทัพไทย ยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตย ความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยของประชาชนอย่างเต็มขีดความสามารถ ตลอด 24 ชั่วโมง
ศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ ขอเรียนให้ประชาชนเข้าใจว่า การหยุดยิงและการลดระดับความตึงเครียด ตามถ้อยแถลงร่วม มิได้หมายถึงการหยุดเตรียมพร้อมตามหลักสากล ทุกกองทัพในโลก ยังคงรักษาความพร้อมอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศตนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หากมีการละเมิดข้อตกลง หรือสถานการณ์เปลี่ยนแปลง
ในขณะเดียวกัน ศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ ขอแจ้งเตือนว่า ในห้วงเวลานี้ พบว่ามีการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวลือ และการตั้งคำถามบางลักษณะในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งอาจมุ่งสร้างความตื่นตระหนก ความโกรธ หรือความไม่ไว้วางใจระหว่างคนไทยด้วยกันเอง ศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ ขอเน้นย้ำว่า ความกลัวและความแตกแยก คือ เป้าหมายของสงครามข้อมูลข่าวสาร ซึ่งมิใช่ผลประโยชน์ของประเทศไทย
ศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ ขอเรียนย้ำว่า หลังจากมีถ้อยแถลงร่วมฯ เกิดขึ้น มิได้หมายถึงว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความอ่อนแอ แต่เป็นช่วงเวลาที่สังคมไทยต้องใช้สติ ความเข้าใจ และความร่วมมือร่วมใจกัน ประเทศไทยจะยืนหยัดได้อย่างมีศักดิ์ศรี ด้วยความเป็นเอกภาพของประชาชน การดำเนินการอย่างมีวุฒิภาวะ และการยึดมั่นในหลักกฎหมายและมาตรฐานสากล
ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกท่านที่ร่วมกันดูแลความมั่นคงของชาติ และขอความร่วมมือ ให้ติดตามข้อมูลจากแหล่งทางการเป็นหลัก
ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ไปยังกองทัพ และประชาชนชาวกัมพูชา โดยมีใจความสำคัญระบุว่า ในนามของรัฐบาล กัมพูชาได้ตัดสินใจรับข้อตกลง “หยุดยิงทันที ณ จุดที่ตั้ง” ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2568 เวลา 12.00 น. ที่ผ่านมา เพื่อยุติโศกนาฏกรรมจากการปะทะที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม
ผู้นำกัมพูชายืนยันอย่างหนักแน่นว่า การตัดสินใจครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะกัมพูชาหมดสมรรถภาพในการรบ หรือยอมแลกบูรณภาพแห่งดินแดนเพื่อสันติภาพ แต่เป็นการเลือกโดยยึดถือชีวิตประชาชนเป็นลำดับความสำคัญสูงสุด พร้อมเปิดเผยตัวเลขความสูญเสียในฝั่งกัมพูชาว่า มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องสังเวยชีวิตแล้วถึง 32 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 93 ราย รวมถึงมีผู้อพยพหนีภัยสงครามกว่า 5 แสนคนที่รอคอยการกลับบ้าน
ในแถลงการณ์ยังระบุชัดเจนว่า การรักษาฐานที่มั่น ณ จุดหยุดยิงนั้น “ไม่มีผลต่อการกำหนดเส้นเขตแดน” ซึ่งกัมพูชายังคงยึดถือตามสัญญาระหว่างประเทศและแผนที่ที่มีอยู่เดิม โดยหลังจากนี้จะใช้กลไกทางเทคนิคของคณะกรรมการปักปันเขตแดน (JBC) ในการแก้ปัญหาต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีการแจ้งข่าวดีว่า ภายหลังจากการหยุดยิงครบ 72 ชั่วโมง (ตามกำหนดวันที่ 30 ธันวาคมนี้) ฝ่ายไทยจะดำเนินการปล่อยตัว ทหารกัมพูชาจำนวน 18 นาย ที่ถูกควบคุมตัวไว้ระหว่างการสู้รบ ให้กลับคืนสู่มาตุภูมิตามข้อตกลงที่ทำไว้ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้กล่าวขอบคุณมิตรประเทศอย่าง สหรัฐอเมริกา, จีน และกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ที่มีส่วนสำคัญในการเจรจาไกล่เกลี่ย พร้อมแสดงความยินดีที่จะให้ผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) เข้ามาตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่หยุดยิง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสันติภาพที่ยั่งยืน