
‘แพ้เสียงในหัว’: อีกหนึ่งไวรัลฮิต 2025 เมื่อไวรัลขำขัน แต่อาจสะท้อนปัญหาการควบคุมตนเองที่ลึกซึ้งกว่าที่คิด
บนหน้าฟีดโซเชียลมีเดียของไทย หลายคนอาจเคยเลื่อนผ่านวิดีโอสั้นที่มีแคปชั่นสะดุดตาว่า “แพ้เสียงในหัว” ตามมาด้วยภาพของคนที่ทำอะไรหุนหันพลันแล่น - ทำอะไรอย่างใจคิดโดยไม่มีความยับยั้งชั่งใจ , การกดสั่งซื้อของราคาแพงโดยไม่ยั้งมือ หรือในแง่ร้ายหน่อย ก็อาจจะเป็นการพิมพ์อะไรที่ไม่ควรพิมพ์ จนกลายเป็นผลร้ายฝันร้ายในภายหลัง รวมถึงเคส โพสต์ข้อความคุกคามทางเพศกับนักการเมืองหญิง ในช่วงที่ผ่านมาด้วย อาจจะเข้าพฤติการณ์ 'แพ้เสียงในหัว'
ปรากฏการณ์นี้กำลังกลายเป็นสิ่งฮิตที่เหล่า ครีเอเตอร์แท้ - ครีเอเตอร์เทียม นำมาผลิตเป็นคอนเทนต์เรียกเสียงหัวเราะ-ยอดไลก์ แต่ภายใต้ความตลกขบขันนั้น มันซ่อนกลไกทางจิตวิทยาและพฤติกรรมศาสตร์ที่น่าสนใจ และอาจน่ากังวลกว่าที่เราคิดไว้เลยก็ได้
แม้ 'แพ้เสียงในหัว' จะร้อนแรงในไทยในปีที่ผ่านมา แต่ในระดับสากล การพูดถึงประเด็นนี้เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อราว 2-3 ปีก่อน โดยเฉพาะใน TikTok ฝั่งตะวันตกที่มีแฮชแท็ก #IntrusiveThoughtsWon (เมื่อความคิดแทรกซ้อนเป็นฝ่ายชนะ) ซึ่งมียอดเข้าชมหลายร้อยล้านครั้ง
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาในต่างประเทศได้ออกมาโต้แย้งและให้ความรู้มาตลอดว่า สิ่งที่ชาวเน็ตทำกันนั้นเป็นการใช้คำผิดความหมาย
ในทางการแพทย์ “Intrusive Thoughts” หรือ ความคิดแทรกซ้อน คืออาการทางจิตเวชที่สร้างความทุกข์ทรมาน (มักพบในผู้ป่วย OCD หรือ PTSD) เช่น ความคิดอยากกระโดดลงจากที่สูง หรือภาพความรุนแรงที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจและเจ้าตัวไม่ได้อยากทำจริง ๆ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเทรนด์โซเชียลฯ - รวมถึงคำว่า 'แพ้เสียงในหัว' ในบริบทของไทย—แท้จริงแล้วคือ 'Impulsive Thoughts' หรือ ความคิดหุนหันพลันแล่น มันคือแรงกระตุ้นชั่ววูบที่อยากทำตามกิเลส หรือความอยากรู้อยากลอง เช่น “กดปุ่มนี้สิ” “กินชิ้นนั้นสิ” “ด่ากลับไปเลย” ซึ่งเป็นเรื่องของ การขาดความยับยั้งชั่งใจ (Impulse Control) มากกว่าความผิดปกติทางจิต
หากจะอธิบายอาการ แพ้เสียงในหัว ให้เห็นภาพที่สุด อาจต้องย้อนกลับไปสู่การเปรียบเทียบสุดคลาสสิกที่เพลโต นักปรัชญากรีกโบราณ หรือการ์ตูนสมัยเด็กมักฉายภาพให้เราเห็น นั่นคือการต่อสู้กันระหว่าง “เทวดาตัวจิ๋ว” และ “ปีศาจตัวน้อย” บนบ่าของเรา
ในทางประสาทวิทยา การต่อสู้นี้มีอยู่จริงและเกิดขึ้นทุกวันในสมอง:
ปีศาจตัวน้อย (System 1): คือสมองส่วนสัญชาตญาณและการใช้อารมณ์ (Limbic System & Basal Ganglia) มันทำงานเร็วเหมือนสับสวิตช์ไฟ ชอบความสุขทันที (Instant Gratification) และเสพติดสารความสุขที่เรียกว่า ‘โดปามีน’ เสียงของมันมักจะบอกว่า “ชอบก็จัด ประหยัดทำไม” หรือ “ดูคลิปต่ออีกหน่อยเถอะ งานเอาไว้ก่อน”
เทวดาตัวจิ๋ว (System 2): คือสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้บริหารสูงสุด (CEO) ของสมอง รับผิดชอบด้านเหตุผล ตรรกะ และการควบคุมตนเอง (Executive Function) คอยเตือนเราว่า “เก็บเงินไว้เถอะ” หรือ “ไปออกกำลังกายเพื่อสุขภาพนะ”
ปัญหาของมนุษย์ยุคปัจจุบัน คือเรากำลังใช้ “สมองยุคหิน” (ที่วิวัฒนาการมาเพื่อคว้าอาหารทันทีที่เห็นเพื่อความอยู่รอด) มาใช้ชีวิตในโลกดิจิทัลที่เต็มไปด้วยสิ่งเร้า
เมื่ออัลกอริทึมของโซเชียลมีเดีย อาหารฟาสต์ฟู้ด และแอปช้อปปิ้งออนไลน์ ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้น “ปีศาจ” (โดปามีน) โดยเฉพาะ จึงไม่แปลกที่เสียงของปีศาจจะดังก้องกังวานจนกลบเสียงเหตุผลของเทวดา ส่งผลให้เราพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การแพ้เสียงในหัวในเรื่องเล็กน้อยอาจดูเป็นเรื่องขำขันและสร้างสีสันในชีวิต แต่หากเราปล่อยให้ “วงจรโดปามีน” นี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นความเคยชิน ผลกระทบที่ตามมาอาจไม่ใช่เรื่องตลก
คนที่แพ้เสียงในหัวบ่อยครั้ง มักลงเอยด้วยการผัดวันประกันพรุ่งในหน้าที่การงาน ปัญหาหนี้สินจากการใช้จ่ายตามอารมณ์ หรือปัญหาสุขภาพระยะยาวจากการตามใจปาก เพราะสมองส่วนหน้า (เทวดา) อ่อนแอลง จนไม่สามารถสั่งการให้ “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” (Delayed Gratification) เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าในอนาคตได้
ข่าวดีคือ สมองของเรามีความยืดหยุ่นและฝึกฝนได้ การจะเอาชนะเสียงในหัว ไม่ใช่การกดดันตัวเอง แต่คือการวางกลยุทธ์ให้สมองส่วนหน้ากลับมาคุมเกมได้อีกครั้ง:
รู้ทันเสียง (Mindfulness): ฝึกสังเกตว่าเสียงยุยงดังขึ้นตอนไหน แทนที่จะตอบสนองทันที ให้ลองหยุดหายใจและถ่วงเวลาสักนิด เพื่อให้สมองส่วนเหตุผลตื่นขึ้นมาทำงานทัน
ปรับสภาพแวดล้อม (Environmental Redesign): หากรู้ว่าแพ้เสียงเตือนมือถือตอนทำงาน ก็เอามือถือไปไว้ไกลตัว หากรู้ว่าแพ้เสียงเรียกร้องของขนมหวาน ก็อย่าซื้อตุนไว้ในตู้เย็น การตัดวงจรสิ่งเร้าช่วยลดภาระการทำงานของสมองส่วนควบคุมได้มหาศาล
ฝึกอดเปรี้ยวไว้กินหวาน: เริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ เช่น รออีก 10 นาทีก่อนจะกินขนม หรือรอ 24 ชั่วโมงก่อนกดจ่ายเงินซื้อของออนไลน์ เพื่อฝึกกล้ามเนื้อแห่งความอดทนให้แข็งแรงขึ้น
ในโลกที่หมุนเร็วและเต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวน การแพ้เสียงในหัวอาจดูเป็นมีมไวรัลขำขันที่ใครๆ ก็เป็นกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องสำคัญๆ ในชีวิต - ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน สุขภาพ หรือความมั่นคงทางการเงิน - อย่าไปแพ้มันจะดีกว่า
และนี่อาจเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด ที่เราจะต้องหันมาฝึกควบคุมตัวเอง เพื่อให้เสียงของเหตุผล ดังกว่าเสียงของกิเลส และบาปในใจตัวเองอีกครั้ง.
ที่มา bangkokbiznews mypsychiatrist businessinsider health.harvard
ข่าวที่เกี่ยวข้อง