svasdssvasds

ส่องช่องโหว่ "ทุจริตเงินวัด" ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ต้องแก้ไข

ส่องช่องโหว่ "ทุจริตเงินวัด" ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ต้องแก้ไข

เจาะลึกการเงินวัดไทย: รายได้หลักจากบริจาคหลายหมื่นล้านต่อปี พร้อมรายได้อื่น ทว่าบริหารขาดโปร่งใส พบทุจริต บั่นทอนศรัทธา

SHORT CUT

  • การเงินวัดไทยมีขนาด มหาศาล พึ่งพิงเงินบริจาคเป็นหลัก และมีแหล่งรายได้อื่น
  • ทว่าประสบปัญหาขาดความโปร่งใส และการทุจริต บั่นทอนศรัทธา
  • จำเป็นต้องปฏิรูประบบบัญชี, ใช้เทคโนโลยี และให้ประชาชนร่วมตรวจสอบ สู่ความยั่งยืน

เจาะลึกการเงินวัดไทย: รายได้หลักจากบริจาคหลายหมื่นล้านต่อปี พร้อมรายได้อื่น ทว่าบริหารขาดโปร่งใส พบทุจริต บั่นทอนศรัทธา

วัดในสังคมไทยมีบทบาทสำคัญมากกว่าเพียงแค่ศาสนสถาน แต่ยังเป็นสถาบันทางสังคมและวัฒนธรรมที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยอย่างลึกซึ้ง วัดทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางชุมชน เป็นสถานศึกษา แหล่งเผยแผ่ศิลปวัฒนธรรม และที่พึ่งทางจิตใจและสังคมสงเคราะห์ ความผูกพันนี้เป็นรากฐานสำคัญของ วัฒนธรรมการทำบุญและการบริจาคทานแก่วัดอย่างกว้างขวาง ซึ่งกลายเป็น แหล่งรายได้หลักของวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ วัดหลายแห่งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ทำให้วัดไม่ได้เป็นเพียงองค์กรทางศาสนา แต่มีสถานะเป็น หน่วยเศรษฐกิจและสังคมที่มีพลวัต การทำความเข้าใจระบบการเงินของวัดจึงมีความสำคัญยิ่งยวด เพราะสถานะทางการเงินและความโปร่งใสส่งผลกระทบกว้างขวางต่อสังคม รายงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับระบบการเงินของวัดพุทธในประเทศไทย โดยเน้นบทบาทของเงินบริจาค แหล่งรายได้อื่นๆ กรอบธรรมาภิบาล ความท้าทายด้านความโปร่งใสและความรับผิดชอบ และเสนอแนวทางการปฏิรูป

แหล่งรายได้ของวัดทั่วประเทศไทย

ผลการวิเคราะห์ยืนยันว่าเงินบริจาคเป็น แหล่งรายได้หลักของวัดทั่วประเทศ คิดเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี การประมาณการหนึ่งชี้ว่าคนไทยบริจาคเงินให้วัดประมาณ 54,417 ล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 54,000 ล้านบาทต่อปี คำนวณจากค่าเฉลี่ยการบริจาคของชาวพุทธที่ 827 บาทต่อคนต่อปีในปี 2561 ตัวเลขเหล่านี้แสดงถึง ขนาดและความสำคัญของเงินบริจาค อีกข้อมูลหนึ่งจากปี 2557 ระบุว่ายอดเงินฝากในระบบธนาคารที่มาจากวัดมีประมาณ 3 แสนล้านบาท ซึ่งอาจรวมถึงเงินสะสมและเงินทุนหมุนเวียนทั้งหมด แรงจูงใจหลักในการบริจาค มาจากการทำบุญ (ทาน) เพื่อสั่งสมบุญบารมีและความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ความสะดวกในการบริจาคและคุณค่าทางจิตใจก็เป็นปัจจัยส่งเสริม อย่างไรก็ตาม การพึ่งพิงเงินบริจาคเป็นหลักทำให้ สถานะทางการเงินของวัดเปราะบางและอ่อนไหวต่อความเชื่อมั่นของสาธารณชน

นอกจากเงินบริจาคแล้ว วัดยังมีรายได้จากแหล่งอื่นๆ อีกหลายประการ  ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์และที่ดิน จากการจัดประโยชน์ที่ดินธรณีสงฆ์ การจำหน่ายวัตถุมงคล ศาสนวัตถุ และสิ่งพิมพ์ วัดที่มีชื่อเสียงหรือมีวัตถุมงคลยอดนิยมจะมีรายได้ส่วนนี้สูง งานวิจัยหนึ่งพบรายรับเฉลี่ยจากการสร้างพระเครื่องบูชาประมาณ 1.4 ล้านบาทต่อปีต่อวัด ตลาดวัตถุมงคลโดยรวมอาจมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ค่าธรรมเนียมการประกอบศาสนพิธีและบริการ เช่น งานทอดกฐินและผ้าป่า เงินอุดหนุนและการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยหลักมาจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เช่น งบประมาณบูรณะวัด หรือเงินอุดหนุนทั่วไป รายได้จากการลงทุนและกิจกรรมทางการเงิน เช่น ดอกเบี้ยเงินฝากหรือผลตอบแทนจากการลงทุนความเสี่ยงต่ำ กิจกรรมเชิงพาณิชย์อื่นๆ โดยเฉพาะวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น ค่าจอดรถ ค่าเข้าชม หรือบริการเฉพาะทาง เช่น การนวดแผนไทยที่วัดโพธิ์

แหล่งรายได้ที่หลากหลายนำไปสู่ประเด็น "พุทธพาณิชย์" ซึ่งก่อให้เกิดคำถามถึงความเหมาะสมและความโปร่งใส ระบบ e-Donation เองก็ไม่นับ "ค่าเช่าวัตถุมงคล" เป็นเงินบริจาคที่ลดหย่อนภาษีได้ อีกประเด็นคือ ความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ระหว่างวัดต่างๆ โดยรายได้มีแนวโน้มกระจุกตัวในวัดขนาดใหญ่หรือมีชื่อเสียง ขณะที่วัดขนาดเล็กในชนบทยังมีปัญหาทางการเงิน

การกำกับดูแลและแนวปฏิบัติในการจัดการการเงิน

การบริหารจัดการการเงินของวัดอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและระเบียบหลายฉบับ:พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ กำหนดให้เจ้าอาวาสรับผิดชอบการจัดทำบัญชี และนิยาม "ศาสนสมบัติของวัด" กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๑๑) กำหนดให้เจ้าอาวาสจัดให้ไวยาวัจกรหรือผู้จัดประโยชน์ทำบัญชีรับจ่ายและสรุปตอนสิ้นปี กฎกระทรวงว่าด้วยการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด พ.ศ. ๒๕๖๔ กำหนดให้ พศ. ออกแบบบัญชีและให้คำแนะนำ ระเบียบมหาเถรสมาคม (มส.) ว่าด้วยการจ่ายเงินผลประโยชน์ของวัด พ.ศ. ๒๕๕๗ กำหนดหลักเกณฑ์และอำนาจอนุมัติการเบิกจ่ายตามจำนวนเงิน โดยวงเงินที่เจ้าอาวาสอนุมัติได้จำกัดอยู่ที่ 50,000-90,000 บาท (ขึ้นอยู่กับการตีความ) หากเกินกว่านั้นต้องได้รับอนุมัติจากเจ้าคณะระดับสูงขึ้นไป และเกิน 500,000 บาท ต้องผ่าน มส. มติมหาเถรสมาคมที่ 407/2558 กำหนดให้วัดทุกวัดต้องจัดทำรายงานการเงิน (บัญชีรายรับ-รายจ่าย) และจัดทำฐานข้อมูลศาสนสมบัติ และส่งรายงานเป็นประจำทุกปีเพื่อความโปร่งใส

ในทางปฏิบัติ การนำกรอบกฎระเบียบไปใช้ยังมีความซับซ้อน วัดจำนวนมากยังคงใช้ ระบบบัญชีเงินสดแบบง่าย ๆ ซึ่งไม่เพียงพอและ ขาดระบบบัญชีที่เป็นมาตรฐานชัดเจน แม้ พศ. จะมีแบบบัญชีและคู่มือไวยาวัจกร แต่การปฏิบัติตามยังไม่ทั่วถึง เงินของวัดที่เกิน 100,000 บาท ควรนำฝากธนาคารในนามวัด

เจ้าอาวาสมีอำนาจและความรับผิดชอบสูงสุดในการบริหารจัดการการเงิน ไวยาวัจกรมีหน้าที่จัดทำบัญชีรายวัน และคณะกรรมการวัดควรมีส่วนร่วม อย่างไรก็ตาม ประสิทธิผลและความเป็นอิสระของไวยาวัจกรและคณะกรรมการวัดแตกต่างกันไป วัดมีหน้าที่จัดทำบัญชีรายเดือนและงบปี และ พศ. มีบทบาทรับรายงานและอาจตรวจสอบ แต่การตรวจสอบบัญชีโดยผู้สอบบัญชีอิสระจากภายนอก ยังไม่ได้เป็นมาตรฐานทั่วไป และการควบคุมภายในยังอ่อนแอ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีอำนาจตรวจสอบวัดได้ แต่โดยทั่วไปจะทำเมื่อมีเหตุอันควร

ช่องว่างสำคัญระหว่างกฎระเบียบกับการปฏิบัติจริง เช่น การขาดระบบบัญชีที่โปร่งใส การบันทึกบัญชีแบบง่าย การลงบัญชีที่ไม่สอดคล้องกัน และการขาดการตรวจสอบที่เป็นมาตรฐานสากล เกิดจากข้อจำกัดด้านทรัพยากร/ความเชี่ยวชาญ การกำกับดูแลที่ไม่เข้มแข็งของ พศ. (ซึ่งดูแลวัดกว่า 42,000 แห่ง) และการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง อำนาจที่รวมศูนย์อยู่ที่เจ้าอาวาส หากขาดกลไกตรวจสอบถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพ อาจนำไปสู่การใช้อำนาจในทางที่ผิดได้
ความท้าทายด้านความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และความไว้วางใจของสาธารณชน

การบริหารการเงินของวัดเผชิญความท้าทายสำคัญที่บั่นทอนความไว้วางใจ

ข้อบกพร่องด้านความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูล: การขาดระบบบัญชีมาตรฐาน การใช้ระบบพื้นฐาน การไม่เปิดเผยรายงานการเงินต่อสาธารณะ และการที่ส่วนใหญ่ไม่ผ่านการตรวจสอบบัญชีจากผู้สอบบัญชีภายนอก เป็นปัญหาที่พบบ่อย ผลสำรวจชี้ว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยมองว่าการเงินวัดขาดความโปร่งใส (46.40%) ซึ่งยิ่งบั่นทอนศรัทธา

การบริหารจัดการที่ผิดพลาดและการทุจริต: ข่าวการทุจริตปรากฏเป็นระยะ เช่น กรณีอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงยักยอกกว่า 300 ล้านบาท หรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐ์ยักยอก 32.3 ล้านบาท กรณีเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจควบคุมการเงินเพื่อประโยชน์ส่วนตน บางกรณียังมีเจ้าหน้าที่ พศ. เกี่ยวข้องกับการยักยอกเงินอุดหนุน ปัญหาเหล่านี้เกิดจาก ช่องโหว่เชิงระบบ เช่น อำนาจเบ็ดเสร็จของเจ้าอาวาสที่ขาดการตรวจสอบถ่วงดุล การขาดบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชี/การเงินในวัด ระบบควบคุมภายในที่อ่อนแอ การขาดการตรวจสอบภายนอก และระบบการเงินสงฆ์ที่ค่อนข้างปิด

ความท้าทายด้านการบังคับใช้กฎระเบียบและการกำกับดูแล: พศ. เผชิญความยากลำบากในการบังคับใช้มาตรฐานกับวัดเกือบ 42,000 แห่ง รวมถึงการผลักดันระบบบัญชีใหม่ตามมติ มส. มีรายงานถึงความไม่เต็มใจของ พศ. ในการเปิดเผยข้อมูลบัญชีวัด นอกจากนี้ พศ. อาจมีข้อจำกัดด้านทรัพยากรและบุคลากรในการกำกับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ และ สตง. ไม่ได้ตรวจสอบวัดทุกแห่งประจำ กลไกการลงโทษทางวินัยภายในคณะสงฆ์เองก็อาจยังขาดประสิทธิภาพ
ความท้าทายเหล่านี้สร้าง วงจรของปัญหา: การขาดความโปร่งใสทำให้เกิดการทุจริตได้ง่าย เมื่อเกิดกรณีอื้อฉาว ก็ยิ่งบั่นทอนศรัทธาและความไว้วางใจ ซึ่งกระทบโดยตรงต่อรายได้หลักคือเงินบริจาค ปัญหาทุจริตที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ชี้ว่าเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรมองค์กร

หนทางสู่การเสริมสร้างความซื่อสัตย์ทางการเงิน: ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูป

การแก้ไขปัญหาต้องอาศัย แนวทางการปฏิรูปที่ครอบคลุมหลายมิติ:การเสริมสร้างความเข้มแข็งของกรอบกฎหมายและกฎระเบียบทบทวนแก้ไข พ.ร.บ. คณะสงฆ์ฯ ให้เข้มแข็งขึ้นด้านความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และการตรวจสอบที่เป็นอิสระ พิจารณายกร่าง "พระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินของวัดและพระภิกษุ" ให้ทรัพย์สินวัดเป็นของพระพุทธศาสนาโดยรวมและให้พุทธบริษัท 4 มีส่วนร่วม แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 เรื่องทรัพย์สินพระภิกษุเมื่อมรณภาพ กำหนดให้มีการตรวจสอบบัญชีวัดโดยผู้สอบบัญชีอิสระจากภายนอกภาคบังคับ

การปรับปรุงมาตรฐานการบัญชีและแนวปฏิบัติในการตรวจสอบบัญชี

พัฒนาระบบบัญชีมาตรฐานระดับชาติสำหรับวัดโดยเฉพาะ ให้ซับซ้อนกว่าระบบเงินสดแบบเดิม จัดฝึกอบรมบุคลากรวัดด้านบัญชีและการเงิน กำหนดให้วัดที่มีรายได้/ทรัพย์สินเกินเกณฑ์ต้องได้รับการตรวจสอบบัญชีจากผู้สอบบัญชีอิสระเป็นประจำ และเปิดเผยผลการตรวจสอบ

การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี

ส่งเสริมและขยายการใช้งาน ระบบ e-Donation เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการรับบริจาค พัฒนาและนำ ฐานข้อมูลทรัพย์สินวัดดิจิทัล ที่ครอบคลุมมาใช้ตามมติ มส. 407/2558 ควรเข้าถึงได้และเปิดเผยต่อสาธารณะในระดับเหมาะสม ส่งเสริมการใช้ซอฟต์แวร์จัดการทางการเงินและเครื่องมือดิจิทัลในวัด และอาจใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการระดมทุน/เปิดเผยข้อมูล

การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและการกำกับดูแลโดยภาคประชาชน

นำข้อเสนอให้ พุทธบริษัท 4 มีส่วนร่วมอย่างมีความหมายในคณะกรรมการการเงินและการกำกับดูแลของวัด มาปฏิบัติ โดยสร้างหลักประกันความเป็นอิสระและอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจน พัฒนากระบวนการคัดเลือก บทบาท และความรับผิดชอบของฆราวาสในระบบธรรมาภิบาล ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบโครงการและการใช้จ่ายเงิน สนับสนุนให้วัดเปิดเผยรายงานสถานะการเงินต่อชุมชนท้องถิ่น การปฏิรูปเหล่านี้มีความซับซ้อนและต้องการแนวทางที่หลากหลาย การแก้ไขปัญหาต้องทำอย่างเป็นระบบ การปรับปรุงกฎหมายต้องควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานบัญชี เทคโนโลยี และการมีส่วนร่วมของชุมชน ความสำเร็จขึ้นอยู่กับ เจตจำนงและความมุ่งมั่นอย่างจริงจังจากทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักร

การวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าระบบการเงินของวัดในประเทศไทยมีเงินบริจาคเป็นแหล่งรายได้หลักและมีทรัพย์สินรวมมหาศาล ซึ่งสะท้อนศรัทธาอันแรงกล้า แต่ขณะเดียวกันก็เน้นย้ำความจำเป็นในการบริหารจัดการด้วย ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และธรรมาภิบาล ความท้าทาย เช่น การขาดมาตรฐานบัญชี การตรวจสอบที่ไม่ทั่วถึง ช่องว่างในการบังคับใช้กฎระเบียบ และกรณีทุจริต ล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญ การปฏิรูปตามแนวทางที่เสนอ ทั้งการปรับปรุงกฎหมาย มาตรฐานบัญชี การใช้เทคโนโลยี และการมีส่วนร่วมของประชาชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาสถาบันวัดให้สามารถปรับตัวและดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงท่ามกลางความคาดหวังของสังคมที่สูงขึ้น การบริหารการเงินที่เปี่ยมด้วยธรรมาภิบาลจึงไม่ใช่เพียงภาระหน้าที่ทางธุรการ แต่เป็นพื้นฐานโดยตรงที่เชื่อมโยงกับ ความสามารถของวัดในการบรรลุพันธกิจทางศาสนาและสังคม และการธำรงไว้ซึ่งความน่าเลื่อมใส

อ้างอิง

จัดระเบียบการเงินวัด / มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ / CUSRI / สถาบันดำรงราชานุภาพ / 
 สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ / ลงทุนแมน / HRACK / Indepht / TCIJ / BrandInside / Justic / OMB / ONAB / อิศรา / 

related