
SHORT CUT
เปิดเส้นทาง "แม่น้ำสายหลัก" มวลน้ำจากภาคเหนือทำให้เขื่อนหลัก 4 แห่ง มีปริมาณน้ำกักเก็บเกือบเต็มความจุ กรมชลฯ ระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาในอัตราสูงสุดที่ 2,800 ลบ.ม./วินาที และลดการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
จากสถานการณ์พายุ และฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้แม่น้ำสายหลักๆ ของภาคเหนือไหลท่วมหลายพื้นที่ และไหลลงมายังพื้นที่ภาคกลาง โดยก่อนหน้านี้ แพร่ น่าน เชียงราย สุโขทัย ลำปาง รวมถึงจังหวัดท้ายน้ำ ได้ถูกน้ำท่วมอย่างหนักในรอบหลาย 10 ปี
เช็กปริมาณน้ำตามเขื่อนใหญ่ภาคเหนือ ภาคกลาง และแม่น้ำสำคัญหลายสายที่มีผลต่อพื้นที่เมืองหลวง
สถานการณ์ล่าสุด เขื่อนสิริกิติ์ ปริมาณน้ำกักเก็บ 98% , เขื่อนภูมิพล ปริมาณน้ำกักเก็บ 99% , เขื่อนเจ้าพระยาปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,800 ลบ.ม./วินาที , เขื่อนป่าสักฯ ปริมาณน้ำกักเก็บ 99% เขื่อนแควน้อย ปริมาณน้ำกักเก็บ 101%
จากเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ถึงอ.สามโคก จ.ปทุมธานี ระยะทาง 139 กิโลเมตร มวลน้ำอาจใช้เวลาเดินทางได้ถึง 2.5 วัน
เขื่อนหลักขนาดใหญ่ ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อย และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ยังคงสามารถรองรับปริมาณน้ำที่ตกเหนือเขื่อนได้ทั้งหมด
การบริหารจัดการน้ำในขณะนี้เน้นที่น้ำที่ไหลมาจากท้ายเขื่อนหลัก ได้แก่ แม่น้ำปิง วัง ยม และน่าน ซึ่งไหลมารวมกันที่สถานีวัดน้ำ C2 นครสวรรค์ โดยระดับน้ำที่นครสวรรค์มีแนวโน้ม "ทรงตัว"
ปริมาณฝนที่ตกท้ายเขื่อนและบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ พิษณุโลก พิจิตร และอุทัยธานี รวมถึงน้ำจากแม่น้ำสะแกกรัง ได้ไหลมาสมทบ ทำให้การบริหารจัดการน้ำซับซ้อนขึ้น
กรมชลประทานได้ปรับการบริหารจัดการโดยพยายามนำน้ำเข้าสู่ระบบชลประทานทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกให้มากที่สุด วันนี้มีการรับน้ำเข้าสู่ระบบถึง 590 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
มีการพยายามยกระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ที่ +17.7 เมตร ซึ่งยังไม่มีผลกระทบต่อพื้นที่เหนือน้ำ
เนื่องจากน้ำเหนือที่ไหลมา ทำให้มีความจำเป็นต้องระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 2,750 ถึง 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งถือเป็นมวลน้ำที่ถึงจุดสูงสุด
แม้เขื่อนป่าสักจะมีความจุเกือบ 100% แต่ก็ยังถูกใช้ในการทดน้ำอย่างเต็มประสิทธิภาพ
เนื่องจากเข้าสู่ช่วงท้ายฤดูแล้ว มีการวางแผนที่จะ ลดปริมาณการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ตั้งแต่วันนี้ (10 พ.ย.) เพื่อลดผลกระทบต่อกรุงเทพฯ และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
น้ำจากเขื่อนป่าสักที่ไหลผ่านระบบคลองและเขื่อนพระราม 6 จะมีปริมาณลดลงเมื่อไปบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ปริมาณน้ำที่รวมกันของแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสักที่บางไทร อยู่ที่ประมาณ 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หรือประมาณ 68% ของความสามารถในการรองรับของลำน้ำ น้ำมวลนี้จะไม่มีผลกระทบต่อกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา (2,750 ถึง 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) คือชุมชนที่อยู่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและนอกคันกั้นน้ำ ตั้งแต่จังหวัด ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทองพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และนนทบุรี
ที่มา : กรมชลประทาน , สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ