svasdssvasds

ด.ญ.แคทลิน เด็กโฮมสคูล Gen Alpha การศึกษาในโลกกว้าง สนุกกว่าห้องเรียน

ด.ญ.แคทลิน เด็กโฮมสคูล Gen Alpha การศึกษาในโลกกว้าง สนุกกว่าห้องเรียน

Photo Story - ชวนสำรวจการเรียนการสอนแบบ "โฮมสคูล" การศึกษาที่พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นผู้ออกแบบหลักสูตรให้ลูก ไม่ต้องไปโรงเรียน ให้เด็กมีเวลาค้นหาความชอบอย่างอิสระเสรี

“ก่อนจะทำโฮมสคูล ผู้ปกครองควรคุยหรือสังเกตว่าลูกอยากทำอะไร หรือชอบอะไร การทำโฮมสคูลควรพ้องไปกับเป้าหมายของลูก” หมอพรชม-ทพญ.พฤกษา เพชรหล่อเหลียน คุณแม่น้องคิตตี้ บอกกับเราไว้อย่างนี้

บ้านเรียน หรือ Home school ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นรูปแบบหนึ่งของการศึกษาที่มีในไทยมานานมากกว่า 20 ปี ปัจจุบัน มีโฮมสคูลที่ขึ้นกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอยู่ราว 4,000 หลังคาเรือน และมีหลายบ้านที่ทำโฮมสคูลจนปัจจุบันเด็ก ๆ เติบโตทำงานกันหมดแล้ว

บ้านเรียน (Home school) คือการศึกษานอกระบบที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีผู้ปกครองออกแบบหลักสูตรให้เข้ากับความสนใจของลูก แตกต่างออกไปคือเด็กโฮมสคูลไม่ได้เรียนเพื่อช่วงชิงความเป็นเลิศ แต่เรียนลงลึกในสิ่งที่สนใจ เราล้วนเป็นเด็กหนเดียว เป็นเด็กต้องได้เล่น ต้องมีเวลาค้นหาความชอบอย่างอิสระเสรี

SPRiNG ชวนอ่านเรื่องราวของเด็กโฮมสคูล Gen Alpha คิตตี้และคุณแม่ออกแบบชีวิตและศึกษาเล่าเรียนอย่างไรในปี 2025 พร้อมทั้งเลื่อนดูภาพประกอบเคล้าเรื่องเล่าให้ได้อรรถรสอย่างเต็มที่ บ้านใดที่เล็งจะทำโฮมสคูลอยู่ ควรได้อ่านบทความนี้

ด.ญ.แคทลิน โจยี่ คู (ซ้าย) - ทพญ.พฤกษา เพชรหล่อเหลียน (ขวา)

1

ก่อนจะหันหลังลาโรงเรียนอินเตอร์

คิตตี้-ด.ญ.แคทลิน โจยี่ คู สาวน้อยลูกครึ่งไทยมาเลเซีย วัย 14 ปี เกิดที่ประเทศมาเลเซีย แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัว หมอพรชมกับลูกย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทย ทันตแพทย์หญิงเล่าว่าอาชีพที่ทำอยู่นั้นมีรายได้งาม มีเงินเพียงพอส่งคิตตี้เข้าเรียนเตรียมอนุบาล (Nursery) ในโรงเรียนอินเตอร์ได้ สนนราคาหกหลักต่อเทอม ปรากฏว่าหนูน้อยคิตตี้มีประสบการณ์ไม่ดีที่นั่น

ด.ญ.แคทลิน เด็กโฮมสคูล Gen Alpha การศึกษาในโลกกว้าง สนุกกว่าห้องเรียน

ด.ญ.แคทลิน เด็กโฮมสคูล Gen Alpha การศึกษาในโลกกว้าง สนุกกว่าห้องเรียน

“ห้องเรียนหนึ่งมีเด็กอยู่หกคน เด็กผู้ชายคนนึงเอาดินสอมาทิ่มเฉียดตาคิตตี้ไปนิดเดียว พอได้คุยกับผู้ปกครองเด็กสรุปกันว่าเด็กคนนั้นเรียกร้องความสนใจ แต่ไม่รู้จะแสดงออกยังไง เลยใช้วิธีนี้” หมอพรชมพูดพลางสาธิตเหตุการณ์ไปด้วย

“สิ่งที่คิดตอนนั้นคือเสียดายภาษา (ไทย จีน อังกฤษ) ที่สอนกันในโรงเรียนอินเตอร์ แต่คงไม่มีประโยชน์ถ้าลูกตาบอดไป ฝืนให้ลูกทนเรียนอีก 2 ปี ทั้ง ๆ ที่มีอีกหลายเรื่องที่ไม่คิดว่าทำไมโรงเรียนเขาทำแบบนี้ เช่น การบ้านคิตตี้สลับกันเด็กคนอื่นบ่อยมาก หรือโยนความผิดว่าคิตตี้เป็นคนแพร่เหา”

เมื่อตอนยังเรียนอยู่เตรียมอนุบาล 1 (Nursery 1) คิตตี้เริ่มมีนิสัยก้าวร้าว ด้วยว่าต้องปกป้องตัวเองจากการถูกทำร้าย ช่วงเดียวกันนี้ หมอพรชมมีความคิดอยากจะทำโฮมสคูล แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำสักที จนพี่เลี้ยง (ป้าตุ๊) เอาคิตตี้เข้าโรงเรียนวัดวชิรธรรมสาธิตในชั้นอนุบาล 2

“ลูกมาบอกว่าหนูไม่เอาเงินค่าขนมไปโรงเรียนแล้วได้ไหม เค้นถามอยู่เป็นสัปดาห์ ก่อนจะทราบภายหลังว่าเงินค่าขนมที่ให้ไป เพื่อนขอไปใช้ทั้งหมด” แม่เล่าถึงลูกสาวที่เจอประสบการณ์ไม่ดี

สิ้นสุดการเรียนชั้นประถมสอง สองแม่ลูกตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนอีกครั้ง มีโฮมสคูลอยู่ในหัว อาชีพหมอฟันก็ยังต้องทำอยู่ แต่ลูกลาออกมาแล้ว ลูกต้องเรียน ลูกต้องมีวิชาทักษะความรู้ติดตัว ทำอย่างไรดี มีสองทาง ให้ลูกอยู่กับยายที่อุดมสุขแล้วขึ้นรถรับส่งไปโรงเรียนดังเดิม หรือย้ายมาอยู่กับแม่ สัจธรรมแท้ลูกเลือกอยู่กับแม่ คนเป็นแม่คิดมารอบด้านแล้วว่าดูแลลูกไม่ได้อย่างที่ใจอยาก หนทางเดียวที่เห็นคือทำโฮมสคูล แม่จะสอนลูกเอง จะหมั่นเอาใจใส่ลูกเอง

 

2

บ้านเรียนเด็กดีมีความสุข

โฮมสคูลเป็นรูปแบบการศึกษาที่ผู้ปกครองรับบทบาทเป็นผู้จัดการศึกษาให้กับลูกที่บ้าน ไม่ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนทั่วไป ซึ่งการจัดการศึกษาแบบนี้ถูกต้องตามกฎหมายไทย โดยอ้างอิงจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ที่เปิดโอกาสให้ครอบครัวมีสิทธิจัดการศึกษาให้ลูกด้วยตนเอง

หัวใจสำคัญของโฮมสคูลคือ "ความยืดหยุ่น" เพราะเด็กสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองสนใจ พัฒนาทักษะตามความถนัด และกำหนดการเรียนของตัวเองได้อย่างอิสระ หมายเหตุไว้ตรงนี้ว่าการจัดการศึกษาแบบบ้านเรียนนั้นมีหลายประเภท ควรเลือกให้เหมาะกับแต่ละบ้าน

เมื่อถอยออกมามองตัวเลขสถิติ จำนวนโฮมสคูลในประเทศไทย ปัจจุบันมีอยู่ราว 4,000 แห่ง ถือว่าไม่เยอะเมื่อเทียบกับโรงเรียนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่มีอยู่ราว 29,152 โรงเรียน (ข้อมูลเมื่อปี 2567)

ไม่ว่าเรียนโฮมสคูลหรือเข้าโรงเรียนในระบบ ไม่มีใครสามารถการันตีได้ว่าแบบใดจะเกิดประโยชน์ต่อตัวเด็กที่สุด แต่ทั้งนี้ เราเห็นว่าการศึกษาภาคบังคับนั้นมีข้อมูลท่วมท้นอยู่แล้ว จึงขอใช้พื้นที่หน้ากระดาษจูงมือเราท่านไปรู้จักบ้านเรียนกันสักหน่อย ให้เหมือนเริ่มทำความรู้จักคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบมาก่อน

ด.ญ.แคทลิน เด็กโฮมสคูล Gen Alpha การศึกษาในโลกกว้าง สนุกกว่าห้องเรียน

โดยมากแล้ว ผู้ปกครองต้องพูดคุยและสังเกตว่าลูกชอบทำกิจกรรมใดเป็นพิเศษ หรือมีแนวโน้มจะใช้เวลาเรียนรู้กับสิ่งใดได้นาน-แปลว่าเขาเทใจไปตรงนั้น ขั้นตอนแรกของการทำโฮมสคูลคือผู้ปกครองควรระดมความคิดอออกแบบหลักสูตรตามแนวทางที่ลูกสนใจ ย้ำว่าควรมาจากลูกไม่ใช่อย่างที่พ่อแม่อยากให้ทำ เล่นมากกว่าเรียน หรือกลับกันว่ากันไป

"ผู้ปกครอง หรือ ผู้จัดการศึกษา ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาที่สูงมาก ขอแค่ยื่นเรื่องตามขั้นตอนที่ถูกต้องก็สามารถทำโฮมสคูลได้อย่างอิสระ"

*หมายเหตุ 

คุณสมบัติของผู้จัดการศึกษา คือ ต้องจบการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 (ม.6) และในกรณีที่ผู้จัดการศึกษาจบแค่ ม.3 ก็สามารถทำได้ หากมีเหตุผลที่เพียงพอหรือมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่สามารถยืดหยุ่นได้

ปัจจุบัน คิตตี้อายุ 14 ปี หรือเทียบเท่าเด็กชั้น ม.3 ทั้งนี้ หมอพรชมทำโฮมสคูลให้คิตตี้ โดยจดหลักสูตรกับ สพม. กรุงเทพมหานคร เขต 2 หมอพรชมอธิบายว่าหลังโควิดเป็นต้นมา รูปแบบการประเมินและการจดหลักสูตรเปลี่ยนแปลงไป ก่อนโควิด-19 จะระบาด ทางสำนักงานเขตฯ จะมีการประเมินทุกปี แต่พอเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงมีการปรับรูปแบบการประเมินใหม่ ไม่ต้องประเมินทุกปีอีกแล้ว

*รายละเอียดเรื่องการจดทะเบียนหลักสูตรสามารถติดต่อสอบถามหมอพรชมได้ที่ https://www.facebook.com/hmx.chm.nxng.khit.ti

เมื่อโฮมสคูลได้รับการรับรองแล้ว ลำดับต่อไปก็ดำเนินไปตามแผนที่ผู้ปกครองเขียนเอาไว้ได้ทันที โดยหมอพรชมเน้นย้ำว่าหลักสูตรนั้นสามารถยืดหยุ่นได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองควรบันทึกร่องรอยการศึกษาของลูกเอาไว้ด้วย

ร่องรอยมีความหมายตามตัวอักษร เด็กโฮมสคูลทำกิจกรรมอะไรบ้าง เรียนอะไรบ้าง พ่อแม่ผู้ปกครองต้องบันทึกเก็บไว้ จะเป็นรูปภาพ วิดีโอ หรือบันทึกเป็นตัวหนังสือได้เหมือนกัน หนึ่งไว้ดูให้เห็นพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของลูก สองไว้เป็นหลักฐานให้กับสำนักงานเขตฯ สามไว้ดูในอนาคต ด้วยว่านี่คือไดอารี่ชั้นดีเลยไม่ใช่หรือ

“ตั้งชื่อโฮมสคูลว่า บ้านเรียนเด็กดีมีความสุข นั่นคือเป้าหมายการเรียนของบ้านเรา” แม่เลี้ยงเดี่ยวพูดพลางชี้นิ้วไปที่หลักสูตรโฮมสคูลที่เธอตั้งใจเขียนเองกับมือ

หลักสูตรโฮมสคูลแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน ไม่มีทางเหมือนกัน เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน  อย่างของบ้านหมอพรชมกับน้องคิตตี้นั้นกล่าวไปแล้วว่าตอนยังเล็กมาก คิตตี้ไม่กล้าแสดงออก เธอกังวล แม้มีผู้ใหญ่หรือเด็กวัยเดียวกันมาถามชื่อถามนามก็เงียบไว้ไม่ยอมบอก

มาตอนนี้ คิตตี้ชอบแสดงออกมากกว่าใคร รำเอย มวยเอย เดินแบบเอย ทั้งหมดนี้เกิดจากการสังเกตของผู้เป็นแม่ ทดลองให้ลูกไปเจอสังคมเพื่อนที่คลาสเรียนรำ เรียนมวย ด้วยเหตุแค่ว่าอยากให้ลูกกล้าคิด กล้าทำ และกล้าแสดงออก

หากจะกล่าวถึงข้อแตกต่างของการศึกษาแบบโฮมสคูลกับการเข้าโรงเรียนตามระบบนั้นสามารถลิสต์ออกมาได้นับอนันต์ เอาเป็นว่าเราสรุปจากสิ่งที่พูดคุยกับหมอพรชมมาได้ดังนี้ 

  • ระบบการศึกษาในโรงเรียนส่วนใหญ่เน้นการแข่งขันและทำตามคำสั่ง ทำให้เด็กส่วนใหญ่ขาดความคิดริเริ่มและมีแนวโน้มที่จะทำงานเป็นลูกจ้าง ซึ่งแตกต่างจากการทำโฮมสคูลที่เน้นการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง ไม่ได้แข่งขันกับใคร
  • โฮมสคูลเพิ่มโอกาสให้ลูกได้เรียนกับครูแบบตัวต่อตัว
  • สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้ตามความสะดวกของครอบครัว

“เด็กโฮมสคูลคงไม่ได้เป็นแบบนี้ทั้งหมด แต่เท่าที่สังเกต คิตตี้จะมีทักษะติดตัวอยู่อย่างหนึ่งคือการเข้าหาคน ต้องรีบหาเพื่อนให้ไว รีบพูดคุย ไม่งั้นเดี๋ยวไม่มีเพื่อนเล่น” ผู้เป็นแม่อธิบายถึงพฤติกรรมลูก พลางยกแก้วชาดำเย็นจิบให้ชุ่มคอพร้อมเล่าเรื่องต่อไป

“เพื่อนมีทุกที่ ไม่ต้องอายุเท่ากันก็เป็นเพื่อนกันได้”

เห็นว่าผู้ใหญ่พักบทสนทนากันแล้ว คิตตี้จึงขอแสดงความเห็นของเธอบ้าง “หนูมีเพื่อนที่เรียนรำด้วยกัน ชื่อไอเดียร์กับลิษา ตัวติดกันตลอด” หนึ่งในความสามารถพิเศษของคิตตี้คือการรำ รำได้ทุกภาค ท่าใด ฉากในวรรณคดีใดที่เคยซ้อมแล้วจะจำไม่ลืม ฝังลึกลงความทรงจำกล้ามเนื้อ (muscle memory)

ด.ญ.แคทลิน เด็กโฮมสคูล Gen Alpha การศึกษาในโลกกว้าง สนุกกว่าห้องเรียน

คิตตี้เป็นเด็กช่างพูดช่างจาช่างจ้อ ลุก ๆ นั่ง ๆ หยิบข้าวหยิบของที่เธอทำเองประดิษฐ์เองมาโชว์ผู้มาเยือนยกใหญ่ ทั้งสบู่สูตรธรรมชาติ ภาพวาดลายกนกงามวิจิตร ภาพวาดดอกไม้เทคนิคสีน้ำ หรือแม้แต่น้ำมันหอมระเหยที่เธอปรุงแต่งกลิ่นเอง

“มีอยู่คืนหนึ่ง ป้าตุ๊ (พี่เลี้ยง) เป็นลมแน่นิ่งไป คิตตี้อยู่กับป้าแค่สองคน ตี้ว่าหนูเอาแต่ร้องไห้ ทำอะไรไม่ถูก ดึกแล้วไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือจากใคร แล้วตอนนั้นแม่ปิดมือถือหัวลงหมอนหลับไปแล้ว  อยู่คนละที่กันติดต่อไม่ได้ ปรากฏว่าตี้ใช้น้ำมันหอมระเหยช่วยป้ารอดตายมาได้” ทันตแพทย์หญิงเล่าถึงลูกแล้วผายมือไปที่ป้าตุ๊ เธอพยักหน้ายืนยัน

วิทยาศาสตร์คือหนึ่งในแปดกลุ่มสาระที่เด็กโฮมสคูลต้องเรียน บางบ้านไม่เน้นมาก เล่น 80% เรียนอาจจะสัก 20% เป็นไปได้หลากหลาย หมอฟันคนเดิมเล่าว่าบ้านเรียนเด็กดีมีความสุขไม่เน้นให้ท่องให้จำตำรับตำรา แต่ผู้เป็นแม่จะสอนวิชาการให้ลูกมีวิชาไปใช้ได้จริง สบู่เอย น้ำมันหอมระเหยเอย สอนวัดไข้ วิเคราะห์ผลตรวจ

ด.ญ.แคทลิน เด็กโฮมสคูล Gen Alpha การศึกษาในโลกกว้าง สนุกกว่าห้องเรียน

“ถ้าเปรียบกับเด็กในระบบ คิตตี้คงเป็นเด็กนักเรียนสายศิลป์”

แม่ก็เล่าถึงลูกสาวไป ลูกนั้นกำลังเดินไปหยิบซอสองคันมาให้โชว์ให้ดู คิตตี้ว่าซอตัวแรกทำมาจากไม้มะเกลือ เป็นพันธุ์ไม้ที่มีเนื้อสีดำ เมื่อประดิษฐ์เป็นซอแล้วลักษณะดูน่าเกรงขาม ลงรักปิดทองขับผิวกัน ซออีกตัวทำจากต้นไผ่ เป็นไผ่ที่ภายในตีบตันไม่เป็นรูโปร่งเหมือนไผ่ปกติ

ซอไม้มะเกลือคันนี้เอง เป็นตัวเดียวกับที่เด็กหญิงแคทลินใช้สีในช่วงเปิดแฟชั่นโชว์ อันเป็นโปรเจกต์จบชั้นประถมหก ที่ต้องยื่นให้กับสำนักงานเขตฯ โปรเจกต์นี้ เธอเป็นคนออกแบบเสื้อผ้าของตัวเอง เมื่อหมดคิวนางแบบ ผู้สีซอลุกขึ้นมาจับจีบร่ายรำเพื่อปิดการแสดง เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้ในรูปแบบวิดีโอ เป็นร่องรอยการศึกษานั่นเอง

“เท่าที่ฟัง โฮมสคูลมีหลายอย่างที่โรงเรียนไม่น่าให้ได้ กลับกัน โฮมสคูลก็ไม่มีสิ่งที่โรงเรียนมี”

“สิ่งที่โฮมสคูลยังไม่ได้รับความเท่าเทียมกันกับเด็กในระบบคือไม่มีสวัสดิการอาหารกลางวัน นมโรงเรียน ลูกเสือเนตรนารี ของพวกนี้เป็นสิ่งที่เรายังขาดอยู่” ผู้เป็นแม่ไม่เชิงน้อยเนื้อต่ำใจ แต่พูดอย่างเข้าใจ

แม่น้องคิตตี้เล่าต่อว่าโฮมสคูลยังได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งจำนวนเงินเปลี่ยนแปลงไปตามระดับชั้น แต่ละภาคการศึกษาได้ไม่เท่ากัน

บ้านเรียนเด็กดีมีความสุข ไม่สนใบปริญญา หรือไม่ได้มีมหาวิทยาลัยเป็นเป้าหมายใช่ไหม เรายิงคำถามไป

“ระบบการศึกษาสร้างเด็กส่วนใหญ่ให้เป็นแรงงาน แต่บ้านเราตั้งใจสร้างธุรกิจเองไม่จำเป็นต้องมีใบปริญญาเพื่อไปสมัครงาน เราไม่ได้ต่อต้านระบบการศึกษานะ เปล่าเลย เพียงแต่ว่านี่ไม่ใช่เป้าหมายของบ้านเรา” หมอพรชมวิพากษ์การศึกษากระแสหลัก

 

3

โฮมสคูลคือการซ้อมใช้ชีวิต

“ครูสอนไม่รู้เรื่อง”

แม้เลือนลาง แม้นานมาแล้ว แต่เมื่อถูกถามถึงความทรงจำในโรงเรียน หนูน้อยวัย 14 ปีบอกกับเราไว้อย่างนี้

มีคำกล่าวหนึ่งจากบทสนทนา ใจความประมาณว่าโฮมสคูลคือการซ้อมใช้ชีวิต (จริง) ไม่เสียเวลาไปกับการเรียนหลายชั่วโมงที่พอจะพูดได้ว่าไม่รู้จะเอามาใช้ได้อย่างไร แต่การทำโฮมสคูลนั้นคือการศึกษาลงลึกไปในสิ่งที่เด็กสนใจ และไม่ใช่แค่กิจกรรมหรือการเล่นเท่านั้น แต่ด้านวิชาการก็ไม่ทิ้ง

เพราะวิชาความรู้ก็เป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต อย่าคิดไปว่าเด็กโฮมสคูลคือเด็กมีปัญหา ความรู้ความสามารถของเด็กโฮมสคูลนั้นไม่ด้อยไปกว่าเด็กในระบบการศึกษาเลย คิตตี้พูดภาษาอังกฤษได้ และได้ถึง 4 สำเนียงคือ อังกฤษ อเมริกัน สิงคโปร์ และอินเดีย

ด.ญ.แคทลิน เด็กโฮมสคูล Gen Alpha การศึกษาในโลกกว้าง สนุกกว่าห้องเรียน

วิทยาศาสตร์เป็นกรอบคิดที่หล่อหลอมตรรกะความคิด ซึ่งจำเป็นต่อการใช้ชีวิตเช่นกัน พอพูดว่าวิทยาศาสตร์ เราอาจเกิดคำถามว่าพ่อแม่ผู้ปกครองจะสอนเนื้อหาได้ลงลึกเท่ากับครูหรือไม่ คำถามนี้อาจไม่สำคัญเท่ากับคำถามที่ว่าแล้วเด็กจะนำความรู้นี้ไปใช้ได้อย่างไรในชีวิตจริง

“เป้าหมายแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน เราถึงบอกว่าควรรู้จักลูกให้ดีก่อน ถ้าลูกอยากเป็นนักเปียโน เราก็จะปรับหลักสูตรไปอีกแนวหนึ่ง หรือถ้าลูกบอกอยากเป็นแพทย์ พยาบาล หรือวิศวกร เราก็จะพาลูกไปอัดวิชาที่จำเป็น เรียนให้รู้ไปเลย ขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่ตกลงกัน”

ถึงจะออกตัวว่าบ้านนี้ไม่เน้นด้านวิชาการ แต่กิจกรรมที่อาศัยทักษะด้านวิทยาศาสตร์ของบ้านนี้ก็พอมีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น การทำสบู่ ฝึกขึ้นรูปสบู่ ปรุงกลิ่น แต่งสี เนื้อสัมผัส เปลี่ยนวัตถุดิบ คิตตี้ทดลองปรับนั่นปรับนี่จนเกิดเป็นสูตรเฉพาะตัว หลากหลายสรรพคุณ ยกตัวอย่างเช่น สูตรลดความมันบนใบหน้า ช่วยลดการก่อตัวของสิวอุดตัน  สูตรช่วยลดริ้วรอย สูตรเพื่อผิวกระจ่างใส เป็นต้น

ด.ญ.แคทลิน เด็กโฮมสคูล Gen Alpha การศึกษาในโลกกว้าง สนุกกว่าห้องเรียน

ด.ญ.แคทลิน เด็กโฮมสคูล Gen Alpha การศึกษาในโลกกว้าง สนุกกว่าห้องเรียน

นี่ก็เป็นส่วนหนี่งของหลักสูตรโฮมสคูล และในระดับชั้นต่อไป หมอพรชมวางแผนสร้างโรงงานผลิตสบู่ให้กับน้องคิตตี้ เพิ่มทักษะด้านการวางแผน การทำการตลาด การตั้งราคา ฯลฯ

ผู้ช่วยทันตแพทย์คือความฝันของคิตตี้ หน้าที่ของผู้ช่วยทันตแพทย์คือผู้ช่วยหยิบ-ส่งเครื่องมือทางทันตกรรม ช่วยข้างเก้าอี้ทันตแพทย์ ดังนั้น ต้องรู้จักชื่อ วิธีการใช้งาน วิธีดูแลรักษา วิธีทำให้ปราศจากเชื้อ และการเก็บรักษา เช็คสต๊อก ดูวันหมดอายุ ให้คำแนะนำก่อน ขณะ และหลังการรักษาให้กับคนไข้ได้

ดังนั้น คิตตี้กับแม่เคยไปออกหน่วยทันตกรรมด้วยกัน หมอพรชมเปรยว่าในอนาคตคิตตี้อาจจะเข้าระบบเพื่อรับใบประกาศนียบัตร สำหรับสมัครงานได้ทั้งในและต่างประเทศ หรือไม่ก็เปิดโรงเรียนสอนหลักสูตรผู้ช่วยทันตแพทย์

“ถ้าถึงวัยต้องเข้ามหาวิทยาลัย ได้คิดไว้หรือยังว่าจะทำอะไร ความฝันจะเปลี่ยนไปจากตอนนี้ไหม”

“ถ้ามีเป้าอื่นก็เป็นเรื่องของอนาคต” เด็กหญิงลูกครึ่งไทยมาเลเซียกล่าวเพียงสั้น ๆ

ในเวลาไม่นาน หมอพรชมกล่าวเสริมว่า “เขาก็พูดไม่ผิดนะ (หัวเราะ) มีใครรู้จริง ๆ บ้างว่าอีก 4-5 ปีข้างหน้าเราจะทำอะไรอยู่กันแน่ ไม่มีใครรู้ได้นะ”

ด.ญ.แคทลิน เด็กโฮมสคูล Gen Alpha การศึกษาในโลกกว้าง สนุกกว่าห้องเรียน

ณ เวลานี้ คิตตี้มีความชอบที่หลากหลาย ทั้งฟ้อนรำ มวย เดินแบบ ทำสบู่ ผู้ช่วยทันตแพทย์ก็อยากเป็น คงเป็นจริงดังที่เธอว่าอนาคตข้างหน้าใครจะไปรู้ เพียงแต่สามารถทดลองทำหลายอย่าง ๆ เพื่อให้สกัดออกมาเป็นสิ่งที่ใกล้ใจที่สุด อีกทั้งทักษะต่างๆที่มีนั้น สามารถสร้างรายได้ และเลี้ยงชีพได้ ไม่ต่างอะไรกับการเรียนในระบบเลย

 

เนื้อหา: วงศกร ลอยมา

ภาพถ่าย: ภูมิสิริ ทองทรัพย์

related