
Photo Story - ชวนสำรวจการเรียนการสอนแบบ "โฮมสคูล" การศึกษาที่พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นผู้ออกแบบหลักสูตรให้ลูก ไม่ต้องไปโรงเรียน ให้เด็กมีเวลาค้นหาความชอบอย่างอิสระเสรี
“ก่อนจะทำโฮมสคูล ผู้ปกครองควรคุยหรือสังเกตว่าลูกอยากทำอะไร หรือชอบอะไร การทำโฮมสคูลควรพ้องไปกับเป้าหมายของลูก” หมอพรชม-ทพญ.พฤกษา เพชรหล่อเหลียน คุณแม่น้องคิตตี้ บอกกับเราไว้อย่างนี้
บ้านเรียน หรือ Home school ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นรูปแบบหนึ่งของการศึกษาที่มีในไทยมานานมากกว่า 20 ปี ปัจจุบัน มีโฮมสคูลที่ขึ้นกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอยู่ราว 4,000 หลังคาเรือน และมีหลายบ้านที่ทำโฮมสคูลจนปัจจุบันเด็ก ๆ เติบโตทำงานกันหมดแล้ว
บ้านเรียน (Home school) คือการศึกษานอกระบบที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีผู้ปกครองออกแบบหลักสูตรให้เข้ากับความสนใจของลูก แตกต่างออกไปคือเด็กโฮมสคูลไม่ได้เรียนเพื่อช่วงชิงความเป็นเลิศ แต่เรียนลงลึกในสิ่งที่สนใจ เราล้วนเป็นเด็กหนเดียว เป็นเด็กต้องได้เล่น ต้องมีเวลาค้นหาความชอบอย่างอิสระเสรี
SPRiNG ชวนอ่านเรื่องราวของเด็กโฮมสคูล Gen Alpha คิตตี้และคุณแม่ออกแบบชีวิตและศึกษาเล่าเรียนอย่างไรในปี 2025 พร้อมทั้งเลื่อนดูภาพประกอบเคล้าเรื่องเล่าให้ได้อรรถรสอย่างเต็มที่ บ้านใดที่เล็งจะทำโฮมสคูลอยู่ ควรได้อ่านบทความนี้
คิตตี้-ด.ญ.แคทลิน โจยี่ คู สาวน้อยลูกครึ่งไทยมาเลเซีย วัย 14 ปี เกิดที่ประเทศมาเลเซีย แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัว หมอพรชมกับลูกย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทย ทันตแพทย์หญิงเล่าว่าอาชีพที่ทำอยู่นั้นมีรายได้งาม มีเงินเพียงพอส่งคิตตี้เข้าเรียนเตรียมอนุบาล (Nursery) ในโรงเรียนอินเตอร์ได้ สนนราคาหกหลักต่อเทอม ปรากฏว่าหนูน้อยคิตตี้มีประสบการณ์ไม่ดีที่นั่น
“ห้องเรียนหนึ่งมีเด็กอยู่หกคน เด็กผู้ชายคนนึงเอาดินสอมาทิ่มเฉียดตาคิตตี้ไปนิดเดียว พอได้คุยกับผู้ปกครองเด็กสรุปกันว่าเด็กคนนั้นเรียกร้องความสนใจ แต่ไม่รู้จะแสดงออกยังไง เลยใช้วิธีนี้” หมอพรชมพูดพลางสาธิตเหตุการณ์ไปด้วย
“สิ่งที่คิดตอนนั้นคือเสียดายภาษา (ไทย จีน อังกฤษ) ที่สอนกันในโรงเรียนอินเตอร์ แต่คงไม่มีประโยชน์ถ้าลูกตาบอดไป ฝืนให้ลูกทนเรียนอีก 2 ปี ทั้ง ๆ ที่มีอีกหลายเรื่องที่ไม่คิดว่าทำไมโรงเรียนเขาทำแบบนี้ เช่น การบ้านคิตตี้สลับกันเด็กคนอื่นบ่อยมาก หรือโยนความผิดว่าคิตตี้เป็นคนแพร่เหา”
เมื่อตอนยังเรียนอยู่เตรียมอนุบาล 1 (Nursery 1) คิตตี้เริ่มมีนิสัยก้าวร้าว ด้วยว่าต้องปกป้องตัวเองจากการถูกทำร้าย ช่วงเดียวกันนี้ หมอพรชมมีความคิดอยากจะทำโฮมสคูล แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำสักที จนพี่เลี้ยง (ป้าตุ๊) เอาคิตตี้เข้าโรงเรียนวัดวชิรธรรมสาธิตในชั้นอนุบาล 2
“ลูกมาบอกว่าหนูไม่เอาเงินค่าขนมไปโรงเรียนแล้วได้ไหม เค้นถามอยู่เป็นสัปดาห์ ก่อนจะทราบภายหลังว่าเงินค่าขนมที่ให้ไป เพื่อนขอไปใช้ทั้งหมด” แม่เล่าถึงลูกสาวที่เจอประสบการณ์ไม่ดี
สิ้นสุดการเรียนชั้นประถมสอง สองแม่ลูกตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนอีกครั้ง มีโฮมสคูลอยู่ในหัว อาชีพหมอฟันก็ยังต้องทำอยู่ แต่ลูกลาออกมาแล้ว ลูกต้องเรียน ลูกต้องมีวิชาทักษะความรู้ติดตัว ทำอย่างไรดี มีสองทาง ให้ลูกอยู่กับยายที่อุดมสุขแล้วขึ้นรถรับส่งไปโรงเรียนดังเดิม หรือย้ายมาอยู่กับแม่ สัจธรรมแท้ลูกเลือกอยู่กับแม่ คนเป็นแม่คิดมารอบด้านแล้วว่าดูแลลูกไม่ได้อย่างที่ใจอยาก หนทางเดียวที่เห็นคือทำโฮมสคูล แม่จะสอนลูกเอง จะหมั่นเอาใจใส่ลูกเอง
โฮมสคูลเป็นรูปแบบการศึกษาที่ผู้ปกครองรับบทบาทเป็นผู้จัดการศึกษาให้กับลูกที่บ้าน ไม่ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนทั่วไป ซึ่งการจัดการศึกษาแบบนี้ถูกต้องตามกฎหมายไทย โดยอ้างอิงจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ที่เปิดโอกาสให้ครอบครัวมีสิทธิจัดการศึกษาให้ลูกด้วยตนเอง
หัวใจสำคัญของโฮมสคูลคือ "ความยืดหยุ่น" เพราะเด็กสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองสนใจ พัฒนาทักษะตามความถนัด และกำหนดการเรียนของตัวเองได้อย่างอิสระ หมายเหตุไว้ตรงนี้ว่าการจัดการศึกษาแบบบ้านเรียนนั้นมีหลายประเภท ควรเลือกให้เหมาะกับแต่ละบ้าน
เมื่อถอยออกมามองตัวเลขสถิติ จำนวนโฮมสคูลในประเทศไทย ปัจจุบันมีอยู่ราว 4,000 แห่ง ถือว่าไม่เยอะเมื่อเทียบกับโรงเรียนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่มีอยู่ราว 29,152 โรงเรียน (ข้อมูลเมื่อปี 2567)
ไม่ว่าเรียนโฮมสคูลหรือเข้าโรงเรียนในระบบ ไม่มีใครสามารถการันตีได้ว่าแบบใดจะเกิดประโยชน์ต่อตัวเด็กที่สุด แต่ทั้งนี้ เราเห็นว่าการศึกษาภาคบังคับนั้นมีข้อมูลท่วมท้นอยู่แล้ว จึงขอใช้พื้นที่หน้ากระดาษจูงมือเราท่านไปรู้จักบ้านเรียนกันสักหน่อย ให้เหมือนเริ่มทำความรู้จักคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบมาก่อน
โดยมากแล้ว ผู้ปกครองต้องพูดคุยและสังเกตว่าลูกชอบทำกิจกรรมใดเป็นพิเศษ หรือมีแนวโน้มจะใช้เวลาเรียนรู้กับสิ่งใดได้นาน-แปลว่าเขาเทใจไปตรงนั้น ขั้นตอนแรกของการทำโฮมสคูลคือผู้ปกครองควรระดมความคิดอออกแบบหลักสูตรตามแนวทางที่ลูกสนใจ ย้ำว่าควรมาจากลูกไม่ใช่อย่างที่พ่อแม่อยากให้ทำ เล่นมากกว่าเรียน หรือกลับกันว่ากันไป
"ผู้ปกครอง หรือ ผู้จัดการศึกษา ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาที่สูงมาก ขอแค่ยื่นเรื่องตามขั้นตอนที่ถูกต้องก็สามารถทำโฮมสคูลได้อย่างอิสระ"
*หมายเหตุ
คุณสมบัติของผู้จัดการศึกษา คือ ต้องจบการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 (ม.6) และในกรณีที่ผู้จัดการศึกษาจบแค่ ม.3 ก็สามารถทำได้ หากมีเหตุผลที่เพียงพอหรือมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่สามารถยืดหยุ่นได้
ปัจจุบัน คิตตี้อายุ 14 ปี หรือเทียบเท่าเด็กชั้น ม.3 ทั้งนี้ หมอพรชมทำโฮมสคูลให้คิตตี้ โดยจดหลักสูตรกับ สพม. กรุงเทพมหานคร เขต 2 หมอพรชมอธิบายว่าหลังโควิดเป็นต้นมา รูปแบบการประเมินและการจดหลักสูตรเปลี่ยนแปลงไป ก่อนโควิด-19 จะระบาด ทางสำนักงานเขตฯ จะมีการประเมินทุกปี แต่พอเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงมีการปรับรูปแบบการประเมินใหม่ ไม่ต้องประเมินทุกปีอีกแล้ว
*รายละเอียดเรื่องการจดทะเบียนหลักสูตรสามารถติดต่อสอบถามหมอพรชมได้ที่ https://www.facebook.com/hmx.chm.nxng.khit.ti
เมื่อโฮมสคูลได้รับการรับรองแล้ว ลำดับต่อไปก็ดำเนินไปตามแผนที่ผู้ปกครองเขียนเอาไว้ได้ทันที โดยหมอพรชมเน้นย้ำว่าหลักสูตรนั้นสามารถยืดหยุ่นได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองควรบันทึกร่องรอยการศึกษาของลูกเอาไว้ด้วย
ร่องรอยมีความหมายตามตัวอักษร เด็กโฮมสคูลทำกิจกรรมอะไรบ้าง เรียนอะไรบ้าง พ่อแม่ผู้ปกครองต้องบันทึกเก็บไว้ จะเป็นรูปภาพ วิดีโอ หรือบันทึกเป็นตัวหนังสือได้เหมือนกัน หนึ่งไว้ดูให้เห็นพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของลูก สองไว้เป็นหลักฐานให้กับสำนักงานเขตฯ สามไว้ดูในอนาคต ด้วยว่านี่คือไดอารี่ชั้นดีเลยไม่ใช่หรือ
“ตั้งชื่อโฮมสคูลว่า บ้านเรียนเด็กดีมีความสุข นั่นคือเป้าหมายการเรียนของบ้านเรา” แม่เลี้ยงเดี่ยวพูดพลางชี้นิ้วไปที่หลักสูตรโฮมสคูลที่เธอตั้งใจเขียนเองกับมือ
หลักสูตรโฮมสคูลแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน ไม่มีทางเหมือนกัน เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่างของบ้านหมอพรชมกับน้องคิตตี้นั้นกล่าวไปแล้วว่าตอนยังเล็กมาก คิตตี้ไม่กล้าแสดงออก เธอกังวล แม้มีผู้ใหญ่หรือเด็กวัยเดียวกันมาถามชื่อถามนามก็เงียบไว้ไม่ยอมบอก
มาตอนนี้ คิตตี้ชอบแสดงออกมากกว่าใคร รำเอย มวยเอย เดินแบบเอย ทั้งหมดนี้เกิดจากการสังเกตของผู้เป็นแม่ ทดลองให้ลูกไปเจอสังคมเพื่อนที่คลาสเรียนรำ เรียนมวย ด้วยเหตุแค่ว่าอยากให้ลูกกล้าคิด กล้าทำ และกล้าแสดงออก
หากจะกล่าวถึงข้อแตกต่างของการศึกษาแบบโฮมสคูลกับการเข้าโรงเรียนตามระบบนั้นสามารถลิสต์ออกมาได้นับอนันต์ เอาเป็นว่าเราสรุปจากสิ่งที่พูดคุยกับหมอพรชมมาได้ดังนี้
“เด็กโฮมสคูลคงไม่ได้เป็นแบบนี้ทั้งหมด แต่เท่าที่สังเกต คิตตี้จะมีทักษะติดตัวอยู่อย่างหนึ่งคือการเข้าหาคน ต้องรีบหาเพื่อนให้ไว รีบพูดคุย ไม่งั้นเดี๋ยวไม่มีเพื่อนเล่น” ผู้เป็นแม่อธิบายถึงพฤติกรรมลูก พลางยกแก้วชาดำเย็นจิบให้ชุ่มคอพร้อมเล่าเรื่องต่อไป
“เพื่อนมีทุกที่ ไม่ต้องอายุเท่ากันก็เป็นเพื่อนกันได้”
เห็นว่าผู้ใหญ่พักบทสนทนากันแล้ว คิตตี้จึงขอแสดงความเห็นของเธอบ้าง “หนูมีเพื่อนที่เรียนรำด้วยกัน ชื่อไอเดียร์กับลิษา ตัวติดกันตลอด” หนึ่งในความสามารถพิเศษของคิตตี้คือการรำ รำได้ทุกภาค ท่าใด ฉากในวรรณคดีใดที่เคยซ้อมแล้วจะจำไม่ลืม ฝังลึกลงความทรงจำกล้ามเนื้อ (muscle memory)
คิตตี้เป็นเด็กช่างพูดช่างจาช่างจ้อ ลุก ๆ นั่ง ๆ หยิบข้าวหยิบของที่เธอทำเองประดิษฐ์เองมาโชว์ผู้มาเยือนยกใหญ่ ทั้งสบู่สูตรธรรมชาติ ภาพวาดลายกนกงามวิจิตร ภาพวาดดอกไม้เทคนิคสีน้ำ หรือแม้แต่น้ำมันหอมระเหยที่เธอปรุงแต่งกลิ่นเอง
“มีอยู่คืนหนึ่ง ป้าตุ๊ (พี่เลี้ยง) เป็นลมแน่นิ่งไป คิตตี้อยู่กับป้าแค่สองคน ตี้ว่าหนูเอาแต่ร้องไห้ ทำอะไรไม่ถูก ดึกแล้วไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือจากใคร แล้วตอนนั้นแม่ปิดมือถือหัวลงหมอนหลับไปแล้ว อยู่คนละที่กันติดต่อไม่ได้ ปรากฏว่าตี้ใช้น้ำมันหอมระเหยช่วยป้ารอดตายมาได้” ทันตแพทย์หญิงเล่าถึงลูกแล้วผายมือไปที่ป้าตุ๊ เธอพยักหน้ายืนยัน
วิทยาศาสตร์คือหนึ่งในแปดกลุ่มสาระที่เด็กโฮมสคูลต้องเรียน บางบ้านไม่เน้นมาก เล่น 80% เรียนอาจจะสัก 20% เป็นไปได้หลากหลาย หมอฟันคนเดิมเล่าว่าบ้านเรียนเด็กดีมีความสุขไม่เน้นให้ท่องให้จำตำรับตำรา แต่ผู้เป็นแม่จะสอนวิชาการให้ลูกมีวิชาไปใช้ได้จริง สบู่เอย น้ำมันหอมระเหยเอย สอนวัดไข้ วิเคราะห์ผลตรวจ
“ถ้าเปรียบกับเด็กในระบบ คิตตี้คงเป็นเด็กนักเรียนสายศิลป์”
แม่ก็เล่าถึงลูกสาวไป ลูกนั้นกำลังเดินไปหยิบซอสองคันมาให้โชว์ให้ดู คิตตี้ว่าซอตัวแรกทำมาจากไม้มะเกลือ เป็นพันธุ์ไม้ที่มีเนื้อสีดำ เมื่อประดิษฐ์เป็นซอแล้วลักษณะดูน่าเกรงขาม ลงรักปิดทองขับผิวกัน ซออีกตัวทำจากต้นไผ่ เป็นไผ่ที่ภายในตีบตันไม่เป็นรูโปร่งเหมือนไผ่ปกติ
ซอไม้มะเกลือคันนี้เอง เป็นตัวเดียวกับที่เด็กหญิงแคทลินใช้สีในช่วงเปิดแฟชั่นโชว์ อันเป็นโปรเจกต์จบชั้นประถมหก ที่ต้องยื่นให้กับสำนักงานเขตฯ โปรเจกต์นี้ เธอเป็นคนออกแบบเสื้อผ้าของตัวเอง เมื่อหมดคิวนางแบบ ผู้สีซอลุกขึ้นมาจับจีบร่ายรำเพื่อปิดการแสดง เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้ในรูปแบบวิดีโอ เป็นร่องรอยการศึกษานั่นเอง
“เท่าที่ฟัง โฮมสคูลมีหลายอย่างที่โรงเรียนไม่น่าให้ได้ กลับกัน โฮมสคูลก็ไม่มีสิ่งที่โรงเรียนมี”
“สิ่งที่โฮมสคูลยังไม่ได้รับความเท่าเทียมกันกับเด็กในระบบคือไม่มีสวัสดิการอาหารกลางวัน นมโรงเรียน ลูกเสือเนตรนารี ของพวกนี้เป็นสิ่งที่เรายังขาดอยู่” ผู้เป็นแม่ไม่เชิงน้อยเนื้อต่ำใจ แต่พูดอย่างเข้าใจ
แม่น้องคิตตี้เล่าต่อว่าโฮมสคูลยังได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งจำนวนเงินเปลี่ยนแปลงไปตามระดับชั้น แต่ละภาคการศึกษาได้ไม่เท่ากัน
บ้านเรียนเด็กดีมีความสุข ไม่สนใบปริญญา หรือไม่ได้มีมหาวิทยาลัยเป็นเป้าหมายใช่ไหม เรายิงคำถามไป
“ระบบการศึกษาสร้างเด็กส่วนใหญ่ให้เป็นแรงงาน แต่บ้านเราตั้งใจสร้างธุรกิจเองไม่จำเป็นต้องมีใบปริญญาเพื่อไปสมัครงาน เราไม่ได้ต่อต้านระบบการศึกษานะ เปล่าเลย เพียงแต่ว่านี่ไม่ใช่เป้าหมายของบ้านเรา” หมอพรชมวิพากษ์การศึกษากระแสหลัก
“ครูสอนไม่รู้เรื่อง”
แม้เลือนลาง แม้นานมาแล้ว แต่เมื่อถูกถามถึงความทรงจำในโรงเรียน หนูน้อยวัย 14 ปีบอกกับเราไว้อย่างนี้
มีคำกล่าวหนึ่งจากบทสนทนา ใจความประมาณว่าโฮมสคูลคือการซ้อมใช้ชีวิต (จริง) ไม่เสียเวลาไปกับการเรียนหลายชั่วโมงที่พอจะพูดได้ว่าไม่รู้จะเอามาใช้ได้อย่างไร แต่การทำโฮมสคูลนั้นคือการศึกษาลงลึกไปในสิ่งที่เด็กสนใจ และไม่ใช่แค่กิจกรรมหรือการเล่นเท่านั้น แต่ด้านวิชาการก็ไม่ทิ้ง
เพราะวิชาความรู้ก็เป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต อย่าคิดไปว่าเด็กโฮมสคูลคือเด็กมีปัญหา ความรู้ความสามารถของเด็กโฮมสคูลนั้นไม่ด้อยไปกว่าเด็กในระบบการศึกษาเลย คิตตี้พูดภาษาอังกฤษได้ และได้ถึง 4 สำเนียงคือ อังกฤษ อเมริกัน สิงคโปร์ และอินเดีย
วิทยาศาสตร์เป็นกรอบคิดที่หล่อหลอมตรรกะความคิด ซึ่งจำเป็นต่อการใช้ชีวิตเช่นกัน พอพูดว่าวิทยาศาสตร์ เราอาจเกิดคำถามว่าพ่อแม่ผู้ปกครองจะสอนเนื้อหาได้ลงลึกเท่ากับครูหรือไม่ คำถามนี้อาจไม่สำคัญเท่ากับคำถามที่ว่าแล้วเด็กจะนำความรู้นี้ไปใช้ได้อย่างไรในชีวิตจริง
“เป้าหมายแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน เราถึงบอกว่าควรรู้จักลูกให้ดีก่อน ถ้าลูกอยากเป็นนักเปียโน เราก็จะปรับหลักสูตรไปอีกแนวหนึ่ง หรือถ้าลูกบอกอยากเป็นแพทย์ พยาบาล หรือวิศวกร เราก็จะพาลูกไปอัดวิชาที่จำเป็น เรียนให้รู้ไปเลย ขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่ตกลงกัน”
ถึงจะออกตัวว่าบ้านนี้ไม่เน้นด้านวิชาการ แต่กิจกรรมที่อาศัยทักษะด้านวิทยาศาสตร์ของบ้านนี้ก็พอมีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น การทำสบู่ ฝึกขึ้นรูปสบู่ ปรุงกลิ่น แต่งสี เนื้อสัมผัส เปลี่ยนวัตถุดิบ คิตตี้ทดลองปรับนั่นปรับนี่จนเกิดเป็นสูตรเฉพาะตัว หลากหลายสรรพคุณ ยกตัวอย่างเช่น สูตรลดความมันบนใบหน้า ช่วยลดการก่อตัวของสิวอุดตัน สูตรช่วยลดริ้วรอย สูตรเพื่อผิวกระจ่างใส เป็นต้น
นี่ก็เป็นส่วนหนี่งของหลักสูตรโฮมสคูล และในระดับชั้นต่อไป หมอพรชมวางแผนสร้างโรงงานผลิตสบู่ให้กับน้องคิตตี้ เพิ่มทักษะด้านการวางแผน การทำการตลาด การตั้งราคา ฯลฯ
ผู้ช่วยทันตแพทย์คือความฝันของคิตตี้ หน้าที่ของผู้ช่วยทันตแพทย์คือผู้ช่วยหยิบ-ส่งเครื่องมือทางทันตกรรม ช่วยข้างเก้าอี้ทันตแพทย์ ดังนั้น ต้องรู้จักชื่อ วิธีการใช้งาน วิธีดูแลรักษา วิธีทำให้ปราศจากเชื้อ และการเก็บรักษา เช็คสต๊อก ดูวันหมดอายุ ให้คำแนะนำก่อน ขณะ และหลังการรักษาให้กับคนไข้ได้
ดังนั้น คิตตี้กับแม่เคยไปออกหน่วยทันตกรรมด้วยกัน หมอพรชมเปรยว่าในอนาคตคิตตี้อาจจะเข้าระบบเพื่อรับใบประกาศนียบัตร สำหรับสมัครงานได้ทั้งในและต่างประเทศ หรือไม่ก็เปิดโรงเรียนสอนหลักสูตรผู้ช่วยทันตแพทย์
“ถ้าถึงวัยต้องเข้ามหาวิทยาลัย ได้คิดไว้หรือยังว่าจะทำอะไร ความฝันจะเปลี่ยนไปจากตอนนี้ไหม”
“ถ้ามีเป้าอื่นก็เป็นเรื่องของอนาคต” เด็กหญิงลูกครึ่งไทยมาเลเซียกล่าวเพียงสั้น ๆ
ในเวลาไม่นาน หมอพรชมกล่าวเสริมว่า “เขาก็พูดไม่ผิดนะ (หัวเราะ) มีใครรู้จริง ๆ บ้างว่าอีก 4-5 ปีข้างหน้าเราจะทำอะไรอยู่กันแน่ ไม่มีใครรู้ได้นะ”
ณ เวลานี้ คิตตี้มีความชอบที่หลากหลาย ทั้งฟ้อนรำ มวย เดินแบบ ทำสบู่ ผู้ช่วยทันตแพทย์ก็อยากเป็น คงเป็นจริงดังที่เธอว่าอนาคตข้างหน้าใครจะไปรู้ เพียงแต่สามารถทดลองทำหลายอย่าง ๆ เพื่อให้สกัดออกมาเป็นสิ่งที่ใกล้ใจที่สุด อีกทั้งทักษะต่างๆที่มีนั้น สามารถสร้างรายได้ และเลี้ยงชีพได้ ไม่ต่างอะไรกับการเรียนในระบบเลย
เนื้อหา: วงศกร ลอยมา
ภาพถ่าย: ภูมิสิริ ทองทรัพย์