ทำไมต้องปรับเงินสมทบประกันสังคม? คุยกับบอร์ดประกันสังคมก้าวหน้า

ทำไมต้องปรับเงินประกันสังคม? คนทำงานได้ประโยชน์หรือเพิ่มภาระ? SPRiNG ได้ติดต่อพูดคุยกับ ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ ม.ธรรมศาสตร์ และบอร์ดประกันสังคมสัดส่วนผู้ประกันตนถึงประเด็นนี้ 

📌 ทำไมถึงต้องปรับเงินสมทบ

ษัษฐรัมย์เริ่มต้นอธิบายว่า ข้อเสนการปรับครั้งนี้ “เพื่อความเป็นธรรมของผู้ประกันตน” กล่าวคือ สมทบเพิ่มขึ้นเพื่อได้รับสิทธิประโยชน์สอดรับกับเงินที่สมทบไปมากขึ้น 

“(การปรับเงิน) เพื่อให้สอดคล้องกับสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนจะได้รับ เช่น การลาคลอด, การว่างงาน, หรือเสียชีวิต ซึ่งแต่เดิมการชดเชยอิงกับฐานเงินเดือน 15,000 บาท ทำให้ผู้ที่มีเงินเดือนมากกว่านั้นจะเสียประโยชน์กรณีที่ได้รับสิทธิประโยชน์เหล่านี้” บอร์ดประกันสังคมก้าวหน้ากล่าว

ษัษฐรัมย์ชี้ว่า ข้อเสนอปรับเงินสมทบนี้มาจากฝ่ายสำนักงานประกันสังคม ที่มองว่าผู้ประกันตนจ่ายเงินด้วยอัตราเท่านี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 หรือแปลว่าไม่มีการปรับเงินสมทบเพิ่มขึ้นตามค่าแรงขั้นต่ำและค่าครองชีพ ดังนั้น จึงส่งผลให้สิทธิที่ผู้ประกันตนจะได้รับไม่สมเหตุสมผลไปด้วย

ในฐานะบอร์ดประกันสังคมสัดส่วมผู้ประกันตน เขาเห็นด้วยกับการปรับฐานเงินประกันสังคมครั้งนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป และเข้าใจบางความเห็นของสังคมที่ไม่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นครั้งนี้ โดยเฉพาะในช่วงสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้
 

“ผมเข้าใจว่าหลายคนไม่สามารถได้ใช้สิทธิประโยชน์ครบทุกข้อ อย่างผู้ชายก็คงไม่ได้ใช้สิทธิ์ว่าคลอด หรือบางคนก็ไม่เคยใช้สิทธิว่างงานเลย แต่สำหรับคนที่ต้องใช้สิทธิเหล่านี้ มันสำคัญกับชีวิตของเขา ระบบสวัสดิการมันเป็นหลังพิงที่สำคัญให้กับใครหลายคน มันอาจจะไม่ครบถ้วนดีที่สุด แต่มันจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ” ษัษฐรัมย์กล่าว

“คนที่เสียประโยชน์มากที่สุดคือนายจ้าง เพราะนายจ้างต้องสมทบมากขึ้นโดยไม่ได้ประโยชน์โดยตรง เว้นแต่จะเป็นประโยชน์โดยอ้อม เช่น คนทํางานได้รับสวัสดิการที่ดีขึ้น ได้รับเงินบํานาญเยอะขึ้น” เขากล่าวเสริมต่อ ทั้งนี้ นายจ้างจะต้องสมทบเงินในอัตราเดียวกับที่ลูกจ้างสมทบ

"สำหรับคนที่ต้องใช้สิทธิเหล่านี้ มันสำคัญกับชีวิตของเขา ระบบสวัสดิการมันเป็นหลังพิงที่สำคัญให้กับใครหลายคน มันอาจจะไม่ครบถ้วนดีที่สุด แต่มันจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ”

 

📌 ประกันสังคมปรับเงินสมทบอย่างไร 

การปรับเงินสมทบครั้งนี้จะไม่ได้ขึ้นโดยทัน แต่จะปรับเป็นไปในรูปแบบขั้นบันได ดังนี้ 

• ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. พ.ศ. 2569 ลูกจ้างที่ค่าจ้างไม่เกิน 17,500 บาท ส่งเงินสมทบสูงสุด 875 บาท/ เดือน
• ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. พ.ศ. 2572 ลูกจ้างที่ค่าจ้างไม่เกิน 20,000 บาท ส่งเงินสมทบสูงสุด 1,000 บาท/ เดือน
• ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. พ.ศ. 75 ลูกจ้างที่ค่าจ้างไม่เกิน 23,000 บาท ส่งเงินสมทบสูงสุด 1,150 บาท/ เดือน
• นายจ้างและรัฐบาลจะต้องส่งเงินสมทบในอัตราเดียวกันกับลูกจ้าง

 

📌 สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ

สำหรับสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ จะมีการปรับขึ้น ดังนี้ 

• เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วยสูงสุด 6 เดือน เพิ่มจาก 7,500 บาท/ เดือน 
  • ในปี 2569 เป็น 8,750 บาท/ เดือน 
  • ในปี 2572 เป็น 10,000 บาท/ เดือน 
  • ในปี 2575 เป็น 11,500 บาท/ เดือน
• เงินช่วยเหลือกรณีว่างงาน (ถูกเลิกจ้าง) สูงสุด 6 เดือน เพิ่มจาก 7,500 บาท/ เดือน 
  • ในปี 2569 เป็น 8,750 บาท/ เดือน 
  • ในปี 2572 เป็น 10,000 บาท/ เดือน 
  • ในปี 2575 เป็น 11,500 บาท/ เดือน
• เงินช่วยเหลือกรณีหยุดงานเพื่อคลอดบุตร เพิ่มจาก 22,500 บาท/ ครั้ง 
  • ในปี 2569 เป็น 26,250 บาท/ ครั้ง 
  • ในปี 2572 เป็น 30,000 บาท/ ครั้ง
  • ในปี 2575 เป็น 34,500 บาท/ ครั้ง
• เงินช่วยเหลือกรณีทุพพลภาพ เพิ่มจาก 7,500 บาท/ เดือน 
  • ในปี 2569 เป็น 8,750 บาท/ เดือน 
  • ในปี 2572 เป็น 10,000 บาท/ เดือน 
  • ในปี 2575 เป็น 11,500 บาท/ เดือน
• เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต เพิ่มจาก 90,000 บาท
  • ในปี 2569 เป็น 105,000 บาท/ เดือน 
  • ในปี 2572 เป็น 120,000 บาท/ เดือน 
  • ในปี 2575 เป็น 138,000 บาท/ เดือน
• เงินบำนาญชราภาพ 
  • ส่งเงินครบ 15 ปี เพิ่มจาก 3,000 บาท/ เดือน 
    • ในปี 2569 เป็น 3,500 บาท/ เดือน 
    • ในปี 2572 เป็น 4,000 บาท/ เดือน 
    • ในปี 2575 เป็น 4,600 บาท/ เดือน
  • ส่งเงินครบ 25 ปี เพิ่มจาก 5,250 บาท/ เดือน 
    • ในปี 2569 เป็น 6,125 บาท/ เดือน 
    • ในปี 2572 เป็น 7,000 บาท/ เดือน 
    • ในปี 2575 เป็น 8,050 บาท/ เดือน