SHORT CUT
"งูเห่า" อินเดียจบยุค! กฎหมาย Anti-defection ปี 1985 ห้าม สส. ย้ายพรรคหรือโหวตสวนมติ หากฝ่าฝืน พ้นจากตำแหน่งทันที เพื่อเสถียรภาพการเมือง
ในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เสถียรภาพของรัฐบาลและความรับผิดชอบต่อพรรคการเมืองเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารประเทศ หากสมาชิกรัฐสภาเปลี่ยนขั้วสนับสนุนหรือโหวตสวนทางมติของพรรคอย่างเสรี ย่อมก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองและเปิดช่องให้เกิดการซื้อเสียงหรือการแทรกแซงผลประโยชน์ ในประเทศอินเดีย ซึ่งมีประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง การ “ย้ายพรรค” (defection) หรือที่เรียกในภาษาไทยว่า “งูเห่า” กลายเป็นปัญหาหนักหน่วงในช่วงหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
เพื่อตอบโต้ปรากฏการณ์นี้ อินเดียจึงบัญญัติกฎหมายต่อต้านการย้ายพรรค (Anti-defection Law) ขึ้นในปี ค.ศ. 1985 ภายใต้การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 52 ซึ่งได้กลายเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันการโหวตสวนมติพรรค และกำหนดบทลงโทษให้ ส.ส. ที่ฝ่าฝืนต้องพ้นจากตำแหน่งในทันที
ก่อนปี 1985 ระบบการเมืองอินเดียประสบกับวิกฤตศรัทธาอย่างรุนแรงจากการที่สมาชิกรัฐสภาและสมาชิกสภารัฐจำนวนมากเปลี่ยนพรรคเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ทั้งในรูปของตำแหน่งรัฐมนตรีหรือเงินสินบน เหตุการณ์หนึ่งที่เป็นแรงผลักดันสำคัญคือ “เหตุการณ์ของ Gaya Lal” ที่เขาเปลี่ยนพรรคถึงสามครั้งใน 24 ชั่วโมง จนเกิดคำพูดที่โด่งดังว่า “Aaya Ram, Gaya Ram” (มาแล้วก็ไป)
เพื่อหยุดยั้งปรากฏการณ์นี้ นายกรัฐมนตรี Rajiv Gandhi จึงผลักดันให้มีการเพิ่ม บทบัญญัติมาตรา 10 ใน Schedule ที่ 10 ของรัฐธรรมนูญอินเดีย ผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 52 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ Anti-defection Law
ภายใต้บทบัญญัติของ Schedule 10 มีข้อกำหนดหลัก ๆ ดังนี้
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (MP) หรือสมาชิกสภารัฐ (MLA) จะพ้นจากตำแหน่งทันทีหาก: โหวตสวนมติพรรคในประเด็นที่พรรคกำหนดมติไว้ (whip) โดยไม่ได้รับอนุญาตล่วงหน้างดออกเสียงในเรื่องสำคัญโดยไม่ได้รับอนุญาต สมัครเข้าร่วมพรรคอื่นหลังจากได้รับเลือกตั้งในนามพรรคใดพรรคหนึ่ง สมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งในนามอิสระแล้วต่อมาสมัครเข้าพรรคการเมือง
ก่อนปี 2003 มีกฎหมายยกเว้นกรณี “split” คือ หากมีการแยกตัวออกจากพรรคในสัดส่วน 1 ใน 3 สมาชิกของพรรคเดิม จะไม่ถือเป็นการฝ่าฝืน แต่หลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 91 ปี 2003 ได้ยกเลิกข้อยกเว้นนี้ และเหลือเพียงกรณี “merger” หรือการควบรวมพรรคโดยสมาชิก 2 ใน 3 ขึ้นไปเห็นชอบเท่านั้น
บุคคลที่มีอำนาจตัดสินว่า สส. หรือ ส.ม.ล. ต้องพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ คือ ประธานสภาผู้แทนราษฎร (Speaker) หรือ ประธานสภารัฐ (State Assembly Speaker) ซึ่งเป็นที่ถกเถียงในสังคมอินเดียว่าอาจขาดความเป็นกลางทางการเมือง
แม้ว่ากฎหมายนี้จะช่วยลดการซื้อขายเสียงและการเปลี่ยนขั้วการเมืองแบบฉับพลันได้ แต่ก็มีนักวิชาการบางส่วนมองว่ากฎหมายนี้ ทำลายเสรีภาพในการออกเสียงของสมาชิกรัฐสภา โดยเฉพาะในระบบรัฐสภาที่ควรยอมให้ผู้แทนมีเสรีภาพในการออกเสียงตามมโนธรรม
อีกประเด็นหนึ่งคือ อำนาจของ Speaker ซึ่งบางครั้งอาจล่าช้าในการตัดสิน ส่งผลให้รัฐบาลใช้เวลา “ค้างเติ่ง” และทำให้สมาชิกที่โหวตสวนมติยังอยู่ในตำแหน่งเป็นเดือนหรือปี โดยไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ
กรณีเช่น Karnataka (2019) และ Maharashtra (2022) เป็นตัวอย่างของความซับซ้อนที่เกิดขึ้นจากการตีความกฎหมายนี้และการใช้อำนาจของ Speaker ในการเลื่อนหรือเร่งการตัดสิน
ศาลสูงสุดของอินเดียได้มีคำวินิจฉัยหลายกรณีเกี่ยวกับ Anti-defection Law เช่น
Kihoto Hollohan v. Zachillhu (1992): รับรองความชอบด้วยกฎหมายของ Anti-defection Law และให้ Speaker มีอำนาจพิจารณา แต่การตัดสินของ Speaker ยังสามารถถูกตรวจสอบโดยศาลได้
Ravi Naik v. Union of India (1994) : ระบุว่าแม้ไม่มีการพูดหรือแสดงเจตนาออกสื่อ แต่หากพฤติกรรมแสดงถึงการละเมิดมติพรรคก็ถือเป็น grounds ของการพ้นสภาพ
กฎหมายต่อต้านการย้ายพรรคของอินเดียเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่เข้มแข็งที่สุดในโลกในการควบคุมเสถียรภาพของพรรคการเมืองและลดการโหวต “งูเห่า” ที่สวนทางกับเจตนารมณ์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แม้จะมีข้อถกเถียงเรื่องเสรีภาพและความเป็นกลางของผู้มีอำนาจพิจารณา แต่กฎหมายนี้ก็ยังคงจำเป็นสำหรับบริบททางการเมืองของอินเดียที่มีความหลากหลายสูงและการแข่งขันดุเดือด
การถ่วงดุลระหว่าง “ความมั่นคงของระบบ” กับ “เสรีภาพของผู้แทน” จึงยังเป็นโจทย์สำคัญในระบอบประชาธิปไตยของอินเดีย และเป็นบทเรียนที่น่าสนใจสำหรับหลายประเทศ รวมถึงไทย ที่ต้องการหาวิธีจัดการกับปรากฏการณ์งูเห่าอย่างยั่งยืน
อ้างอิง